ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คณะจาก กทม.

๑๕ ก.พ. ๒๕๕๒

คณะจาก กทม.
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันมีเมื่อ สองวันมานี้แหละ มันมีโยมมาคุยบ่อย เป็นลูกศิษย์ทางโน้น เขามาคุย เขาถามว่า “รู้จักองค์นั้นไหม? รู้จักองค์นี้ไหม?” เราบอก “ไม่ใช่ มึงถามเขาว่ารู้จักกูหรือเปล่า? ไม่ใช่กูรู้จักเขาหรือเปล่า” แล้วพอจริงๆ เขายอมรับ คือไปหามาหมด พอพูดถึงเขามาจากไหน? มาจากที่นี่ มาจากโพธาราม ราชบุรี เขาบอกให้กลับมานี่ กลับมานี่

มันทิฐิ คนเรานี่นะ เวลากลับไปอยู่บ้าน กลับไปอยู่บ้าน เขาเห็นเรามาตั้งแต่เด็กไง มองไม่ขึ้นหรอก เขาเห็นเรามาตั้งแต่เด็ก มันมอง มันก็มองมาคือเด็ก นั่นเขาเห็นมาตั้งแต่เด็กใช่ไหม? ไม่มีความสำคัญ เขาก็ไปหาที่อื่นทั่วไปหมดล่ะ แล้วเขาก็ตีกลับมา ตีกลับมา หมายถึงว่า มันก็เห็นกันมา เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่มา

เรามาอยู่โพธารามใหม่ๆ นะ มันมีหมอกวาดยา อายุ ๘๐-๙๐ เขาอายุยืนมาก เขาเป็นหมอพวกสมุนไพร เวลาเราไปน่ะ เขาชี้หน้าเลย บอกเด็กๆ นี่เขากวาดยาเรา เราบอกกวาดยาแม่ก็จ่ายสตางค์ไปแล้ว คือถ้าคำพูด ด้วยคำพูดของเขานะ เขาพูดด้วยว่าเขามีคุณมีอะไร มันก็น่าฟังนะ แต่นี่มันคำพูดแบบทวงบุญคุณ ทวงบุญคุณ ไอ้ทวงบุญคุณมันเรื่องของกิเลส

แล้วพูดถึงทวงบุญคุณเราก็พูดถึงเรื่องธุรกิจ อ้าว แม่ก็จ่ายสตางค์แล้ว อ้าว แม่ก็พาไปกวาด แม่ก็จ่ายสตางค์ให้ไปแล้ว อ้าว แล้วจะพูดอะไรอีกล่ะ แล้วเขาก็ไม่ยอม เพราะเขาอุปัฏฐากพระไว้มาก เขาบอกว่าเขามีอายุมาก เขาแบบว่าต้องการให้เรายอมรับว่าเขาอาวุโสไง เราบอกโยมตายเดี๋ยวนี้ โยมก็มาต่อท้ายไง โยมตายเดี๋ยวนี้โยมก็เกิดใหม่ ใครอาวุโสกว่าใคร? โยมตายเดี๋ยวนี้ แล้วไปเกิดใหม่ก็เป็นทารก แล้วใครอายุมากกว่าใคร?

นี่เวลาจะแก้ไง เวลาคนเขามาเขาทิฐิไง คนมาเขาทิฐิ ขนาดเด็กผู้ใหญ่ เขามา เขาเจอเรา โอ๊ย ไอ้เด็กกะโปโล เห็นแก้ผ้าตั้งแต่เด็กๆ เขาคิดกันอย่างนั้น เราเห็นเราคิด แม่น้ำแม่กลอง เมื่อก่อน แม่น้ำแม่กลองมันจะมีหาดทราย แล้วตกเย็นเด็กก็จะมาเล่นอาบน้ำกันไง จะมาเตะบอล เตะบอลเสร็จก็ลงแม่น้ำ ก็โตก็เห็นกันมา แล้วก็บอกเห็นตั้งแต่เด็กๆ เห็นตั้งแต่วิ่งแก้ผ้าอาบน้ำ

อันนี้เขาก็เที่ยวกันไปไง เที่ยวกันไป พอเที่ยวกันไป ไปถาม สุดท้ายแล้วเขามีทิฐิ มีเหมือนกันที่มาถาม ๒ วันนี้ เรารู้จักองค์นั้นไหม? องค์นี้ไหม? เราถามเขาว่า “เอ็งถามเขาว่ารู้จักกูไหม?” เงียบเลย เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเขาไปถามแล้ว แล้วทุกคนก็ต้องย้อนกลับมานี่ เพียงแต่ว่าใครจะพูดยอมรับออกมาความจริงเท่านั้นเอง เขาไม่ยอมรับความจริงข้อนี้

นี่ก็เหมือนกันอย่างที่ว่า องค์ไหนนี่ไปถามมารู้จักเราไหม? ทีนี้เพียงแต่ว่าประสาเรานะ เราไม่วุ่นวาย อย่างที่เราพูด เราพูดบ่อย เมื่อ ๒ วันนี้ที่เขาว่า เขาว่าเราปากจัดๆ เอ็งถามเรานะ จะบอกว่ากูเลยล่ะ มึงถามกูนะ แล้วให้กูตอบ พอกูตอบก็ว่ากูปากจัด กูปากจัด แล้วถ้ากูไม่ตอบ มึงก็ว่าในศักยภาพของศาสนานี้ไม่มีความหมาย

ที่ทำอยู่นี่ทำเพราะศาสนา ถ้าศาสนานี่ไม่มีกาล เวลาเขาพูดกันน่ะ เขามีต่อไปนะ เขาไปพูดข้างนอกกัน โอ้โฮ หลวงพ่อนี่พูดท้าทายฉิบหายเลย ก็ท้าทายถึงมีแรงดึงดูด เพราะท้าทายแล้วถึงจะจองกั้นให้พวกมึงมาปฏิบัติกัน ไม่อย่างนั้นศาสนามันจะมี โลกมันอยู่ได้เพราะอะไร? เพราะแรงดึงดูดพระอาทิตย์ ไม่มีแรงดึงดูดพระอาทิตย์ จักรวาลนี้จะอยู่ได้ไหม?

ศาสนานี่มันไม่มีความจริงเลยที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเอ็งเลย แล้วก็ดูถูกพระเห็นไหม ดูถูกพระดูถูกเจ้าไปหมดเลย แล้วเวลาพระพูดความจริงมา อ้าว พระพูดความจริง พูดความจริงไม่ได้เหรอ? ทีนี้พูดความจริง ความจริงมันคืออะไรล่ะ? อ้าว ถ้าความจริงมันออกมาจากไหน? เขาว่านะ เวลาเราพูดนี่พูดรุนแรง เราพูดรุนแรง

แต่เราบอก “ไม่ใช่ เราพูดเข้มข้น” เข้มข้นเพื่อให้มันสะเทือนใจไง ทางโลกนี่ลูบหน้าปะจมูก เกรงใจกันไปหมดแต่ธรรมะไม่มี ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ ต้องเป็นตามนั้น ไม่มีการลูบหน้าปะจมูก ถ้าลูบหน้าปะจมูก เราก็เห็นไหม หลวงตาท่านพูด

“ท่านบอกว่า ก่อนจะเทศน์นี่ต้องขออนุญาตกิเลสก่อน”

เกรงใจไง เกรงใจ กลัวสะเทือนใจเขา จะพูดอะไรก็กลัวสะเทือนใจเขา ต้องขออนุญาตก่อนนะ ขอพูดหน่อยหนึ่ง แต่นี่ธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น ฟันเลย ฟันเลย เขาจะเชื่อถือ เขาจะอย่างไรเรื่องของเขา เรายังพูดนะ เวลาพูดธรรมะนี่ เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ตอนต่อไปเป็นหน้าที่ของผู้รับฟังจะได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ เรื่องของเขาแล้ว แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว

เราได้ทำหน้าที่ของเรา นี่ไง เราบอกว่า “ใช่ เราต้องพูดเข้มข้น” เพราะอะไร? เพราะมันกระเทือนหัวใจ ธรรมะกระเทือนหัวใจนะ เวลาพูดธรรมะนี่นะ ขนพองเลยล่ะ ขนลุกหมดเลยล่ะ เวลาขนลุกไอ้คนฟังมันจะได้แล้ว ถ้าเวลามาพูดเฉยๆ นะไอ้คนฟังก็ อืม ฟังธรรมเป็นพิธีไง ฟังธรรมได้บุญมากไง ยกมือแล้วสัปหงกอยู่ ได้บุญเยอะเลย โอ้โฮ ได้ฟังเทศน์แล้วไง มันไม่เข้าเนื้อหาสาระเลย

เนื้อหาสาระนะ การฟังเทศน์ การฟังธรรมสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่ง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำมัน ทำความลังเลสงสัยของเราให้ตกร่วงไป ถึงสุดท้ายแล้วทำจิตให้ผ่องแผ้ว ผลของมันเป็นอย่างนี้เว้ย ผลของการฟังเทศน์ ฟังจบแล้วจิตใจมีความเข้าใจ ผ่องแผ้ว แล้วความผ่องแผ้วมันเกิดจากอะไร รีไซเคิลน้ำสกปรกไง น้ำเสียเขารีไซเคิลน้ำจากน้ำเสียเป็นน้ำสะอาดขึ้นมาได้

หัวใจทุกคนสกปรกหมด ใครจะปิดบังได้ขนาดไหน? จะผู้ดีตีนแดงขนาดไหน? จะพลิกตีนแดงอย่างไร? ใจสกปรกหมด ถ้าใจไม่สกปรกไม่มาเกิด คนที่เกิดมามีอวิชชาทั้งหมด ถ้าไม่มีอวิชชามาเกิด มาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? ไม่มีใครเลยที่จิตใจใสสะอาด ไม่มี ไม่มี

แต่ทำให้สะอาดได้ แล้วพวกเรามีสิทธิ์ทำให้สะอาดได้ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา เห็นไหม พระเจ้าสุทโธทนะ พ่อ พ่อก็ต้องการให้เป็นจักรพรรดิ พ่อต้องการเพราะวงศ์ตระกูลของตัวใช่ไหม? โอ้ ทะนุถนอมขนาดไหน แต่เพราะบุญเต็มมาแล้ว บุญเต็มมาแล้วเห็นไหม อุตส่าห์หาครอบครัวให้เห็นไหม นางพิมพา มีลูกขึ้นมา นี่มีกิเลสหรือเปล่า?

คนเกิดกิเลสทั้งหมด เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมากิเลสเต็มตัวเลย ทีนี้พอออกมา เกิดวันวิสาขะ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชแล้ว เกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดในธรรม เกิดที่โคนต้นโพธิ์ เกิดอันนี้เกิดขึ้นมานี่หัวใจสำคัญ นี่สะอาดตรงนี้ มีวิธีทำมันสะอาดได้ พวกเรามีสิทธิ์ทุกคน เจ้าชายสิทธัตถะออกมามีครอบครัวเหมือนกัน มีทุกอย่างพร้อม

คนเกิดทั้งหมด มันเป็นธรรมชาติ เราถึงบอกว่าการเกิด มนุษย์เรานี่สำคัญมาก มนุษย์เราเกิดมา พอเกิดเป็นมนุษย์ปั๊บ มีชีวิตแล้ว เห็นไหม ชีวิตนี้สำคัญนัก อย่างพวกเรานี่เห็นไหม เพราะมีเรา เราถึงมีทุกอย่าง สมบัติของเรา เพราะมีเรา เราเป็นเจ้าของสมบัติ ถ้าไม่มีเราสมบัติยังอยู่ไหม? ถ้าเราหาไว้ในธนาคารยังอยู่ไหม? ก็อยู่ครบทั้งนั้น แต่เราตายไปแล้ว สมบัติของใคร? เป็นมรดกตกทอด

ถ้าไม่มีมรดกตกทอด ธนาคารมันยึดเลยนะ สมบัติของใคร นี่เพราะมีเรามีชีวิต ชีวิตสำคัญมากเลย นี่เพราะมีเรามีชีวิต เราถึงแสวงหาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยมา แล้วคุณธรรมอันนี้มาจากไหน? ถ้าคุณธรรมเราจะค้นหา เราต้องมีชีวิตนะ คนตายแล้วนะ อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อยากแทนคุณ เอ๊ะ เราจะเผยแผ่ธรรม จะแทนคุณ จะเอาใครก่อน?

ไปอยู่กับอาฬารดาบส อาฬารดาบสสอนมา จะสอนอาฬารดาบสก่อนเพราะอะไร? เพราะคนภาวนาเป็น คนภาวนาเป็นศาสดานี่นะ จะสอนใครต้องเขามีความพร้อม เหมือนนักเรียน เราจะสอนนักเรียน นักเรียนมีความพร้อม มีการศึกษาชนิดนี้ไหม? ธรรมะจะสอนใคร จะสอนคนที่มีสมาธิ มีพื้นฐานของจิตก่อน ไปสอนอาฬารดาบส โอ้โฮ ตายไปเมื่อวานนี้ น่าเสียดายมาก

อาฬารดาบสกับกาฬเทวิล น่าสงสารมาก กาฬเทวิล พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว โอ้โฮ สะเทือน พระพุทธเจ้า เห็นไหม พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้า โลกธาตุหวั่นไหว เวลาพระพุทธเจ้า วันมาฆะบูชา พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร โลกธาตุหวั่นไหว โอ้โฮ พระอานนท์เห็นการหวั่นไหว เหมือนกับพายุ การหวั่นไหว แปลกใจมาก เอ๊ะ มันมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดมาได้อย่างไร? ก็ไปถามพระพุทธเจ้า ต้องถามพระพุทธเจ้า ทุกอย่างพระพุทธเจ้า อนาคตังสญาณ ต้องรู้หมด

ไปถามว่า “สิ่งที่ไม่เคยเป็นมันเป็นแล้วพระเจ้าข้า อยู่ดีๆ แผ่นดินไหวได้อย่างไร”

“อานนท์ มันเป็นอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าเกิดหนหนึ่ง พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารหนหนึ่ง พระพุทธเจ้าปรินิพพานหนหนึ่ง โลกธาตุจะหวั่นไหว”

พระอานนท์รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าพูด พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว อ้อนวอนขอใหญ่เลย จะขอให้อยู่ไง แต่

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอถึง ๑๖ หน ๑๖ ครั้งนะ ที่นั่นๆๆ ให้เธออาราธนาเรา ถ้าเธออาราธนาเราไว้ถึง ๒ หน ถึงหนที่ ๓ เราจะรับอาราธนาของเธอ เราบอกเธอตั้ง ๑๖ หนแต่เธอไม่เฉลียวใจเลย แล้วตอนนี้ปลงอายุสังขารไปแล้ว”

นี้ไงสุภาพบุรุษ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ปลงอายุสังขารปลงใจว่าจะตาย โลกธาตุหวั่นไหวเลย นี่ไง พระพุทธเจ้าเกิดโลกธาตุหวั่นไหว เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กาฬเทวิลอยู่บนพรหม สะเทือนไปถึงนั่นเลย เพราะโลกธาตุหวั่นไหว รู้เลยว่าต้องมีเหตุการณ์พิเศษ ลงมาเลยนะ ลงมานี่เป็นเพื่อนเจ้าชายสุทโธทนะเห็นไหม

ขอดู ขอดูลูกชาย เพื่อนกันน่ะ คนหนึ่งเป็นกษัตริย์ อีกคนเป็นพราหมณ์ เพื่อนกันก็เข็นลูกออกมาให้ดู โอ้โฮ เพราะอะไร พราหมณ์ไตรเพท เขาท่องบ่นไว้นี่ ลักษณะ พุทธลักษณะ ครบหมดเลย พระพุทธเจ้าแน่นอน โอ้โฮ ดีใจมากเลย เพราะตัวเองทำฌานสมาบัติได้ขึ้นไปนอนบนพรหมได้ตลอดเวลา เห็นไหม ระลึกอดีตชาติได้ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ การระลึกชาติอดีตอนาคต ความรับรู้นี่ฌานโลกีย์ทั้งนั้น เหาะเหินเดินฟ้านี่ไร้สาระ เป็นเรื่องฌานโลกีย์นะ

แล้วไร้สาระทำได้ไหม ลองทำดูสิ ทำได้ แต่ทำได้ ฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ตลอดเวลา พอสะเทือนเลื่อนลั่นก็ลงมาดูด้วยตา เพราะอะไร? เพราะมีปัญญา พอลงมาเจอนี่โอ้โฮ ดีใจมากเลย เกิดแล้ว พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว พระพุทธเจ้าเกิด พุทธลักษณะมันมี คนจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องมีพุทธลักษณะอย่างนี้

เพราะพุทธลักษณะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าแน่นอน ดีใจมากเลย แล้วตัวเองมีปัญญามากเห็นไหม กำหนดดู โอ้โฮ ร้องไห้เลย เพราะพระพุทธเจ้าเกิดแล้วนะ ๒๙ กว่าจะออกบวช เพราะรู้อนาคต เห็นไหม กว่าจะออกบวช กว่าจะตรัสรู้ เราตายก่อนไง ร้องไห้เลยนะ คนที่เหาะเหินเดินฟ้าได้ ไปอยู่บนพรหมได้ ร้องไห้เลย เพราะคนรู้ คนไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ไม่มีความสามารถพอ ไม่ตรัสรู้เองโดยชอบ

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า เรานี่สาวกสาวกะ ขอให้ได้ยินได้ฟัง ขอให้มีคนชี้นำ นั่นไม่มีใครบอก ไม่มีใครบอก ทั้งๆ ที่อยากไปมาก รู้ๆ อยู่แต่ไปไม่ได้ แล้วพูดถึงนะ คิดดูสิ เห็นๆ อยู่เลยนะ เหมือนเราไปกินร้านอาหาร อาหารหมดพอดี เข้าไป เอ๊อะ นี่รู้ๆ อยู่เลย พระพุทธเจ้าจะเกิด แต่เราต้องตายเสียก่อน นี่ไงเวลาผู้ปฏิบัติเห็นไหม

ปฏิบัติแล้วเราจะไปอยู่บนสวรรค์ ที่ทางโลกเขาทำบุญกัน นักปฏิบัติไม่ เพราะกาลเวลา ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขา ๑ วัน แล้ว ๑ วันของเขา เก้าล้านปี ศาสนาเรานี่ ๕,๐๐๐ ปี เอ็งไปอยู่นั่นเก้าล้านปีนะ เอ็งกลับมาโลกลุกเป็นไฟ มึงจะกลับมาอีกทีก็โน่นน่ะ มนุษย์หินน่ะ มนุษย์หินสมัยน้ำแข็ง มึงต้องกลับมาเจอสภาวะแบบนั้น ถ้าเก้าล้านปี กาลเวลามันหมุนเวียน มันหมุนเวียนของมันอย่างนี้ วัฏฏะอย่างนี้

กาฬเทวิล อาฬารดาบส เห็นไหม จะไปสอนน่ะ คนตายแล้ว เสียดายมากไม่มีโอกาสได้สอนกาฬเทวิล ก็ย้อนกลับมาปัญจวัคคีย์ จะไล่มาเลย ใครที่มีบุญมีคุณ พอถึงปัญจวัคคีย์ปั๊บ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี ก็มาเทศน์ธรรมจักรฯ พอเทศน์ธรรมจักรฯ ก็อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ มีพยานแล้ว มีคนมีพยานแล้ว ไม่อย่างนั้นพูดอยู่คนเดียวไม่มีพยาน พออัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรม มีพยานแล้วๆ ปัญจวัคคีย์

นี่ไง แสวงหากันอย่างนี้ไง เรามีชีวิต จริงอยู่นะเราบวชเป็นพระ เราประพฤติปฏิบัติ เราต้อง ประสาเรานะ กัดก้อนเกลือกิน มันต้องเข้มแข็ง มันต้องเอาจริงเอาจัง แล้วถ้าเอาจริงเอาจังสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้ เราเอามือตีตัวเองสิ เราหยิกตัวเองเจ็บไหม? เจ็บ เอ็งก็มีความรู้สึกอยู่ เอ็งก็เจ็บ แล้วปฏิบัติมันก็เหมือนกัน เอ็งหยิกไปที่จิตสิ กิเลสมันอยู่ที่นั่น เด็ดมันสิ หัวใจนี้ เอ็งบอกมรรคผลไม่มีไง

มรรคผลไม่มีมึงหยิกตัวเองเจ็บไหม? แล้วเวลามึงเจ็บปวด หัวใจเอ็งเจ็บไหม? แล้วเวลามึงทำให้ใจมันหลุดพ้นออกมา อ้าว ถ้ามันเจ็บปวดได้ มันก็ต้องหลุดพ้นออกมาได้ นี่ไง ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายใน เกิดมาชีวิตหนึ่งมีโอกาสนะ เพราะมันมีโอกาส เพราะตายตูม อ้าวนี่ ทำความดีมาก ตายตูมกูเกิดเป็นเทวดาเลย

นึกว่ากูเกิดเป็นเทวดานี่กูก็ปฏิบัติแล้ว กูเกิดเป็นเทวดากูจะปฏิบัติอีก พอไปเกิดเป็นเทวดา ตูม เราเกิดเป็นคนใหม่นะ จิตอันเดิม แต่เกิดเป็นคนใหม่ เกิดเป็นเทวดาแล้ว สภาพ โอ้โฮ ทิพย์ไปหมดเลย โอ้โฮ มีความสุขไปหมดเลย ปฏิบัติ ปฏิบัติอะไรกัน? มีความสุขอยู่นี่ อะไรปฏิบัติ? ทุกข์ล่ะ อริยสัจอยู่ที่ไหน? ทุกข์อยู่ที่ไหน? มันหมดไปอีกอายุหนึ่งแล้ว หมดไปอีกภพชาติหนึ่ง

เว้นไว้แต่เทวดาที่มีบุญ ถ้าเทวดาที่มีบุญ บางทีมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ถึงจะสุขสำราญขนาดไหน คำว่าสุขสำราญนี้ มันเผลอได้ คนเรา อย่างเรานี่เรานั่งกันอยู่นี่ปวดเมื่อยนะ เวลาหิวขึ้นมาท้องหิวนะ แต่ถ้าเป็นเทวดานะ อิ่ม นึกก็อิ่ม ทิพย์น่ะ เทวดาเขาไม่กิน ตักบาตรๆ กลัวจะไม่ได้น้ำกินนี่ตักบาตรให้ดูด้วยนะ เอ็งเอาน้ำนี้ไปกินเหรอ

อยู่เป็นเทวดาเขากินน้ำอย่างนี้กันเหรอ เทวดาจะมากินน้ำอย่างนี้เหรอ เฮ้ย เขาไม่กินหรอก ไม่ได้กินหรอก เวลาเราทำบุญเป็นบุญกุศล แล้วมันแปรสภาพเป็นทิพย์ เป็นทิพย์หมายถึงว่าเป็นความรู้สึก เป็นวิญญาณาหาร มันไม่ใช่ ไอ้นี่กวฬิงการาหาร นี่คำข้าว นี่เป็นน้ำ ไอ้นี่มันมนุษย์ ธาตุ ๔ มันกิน เทวดาไม่กินอย่างนี้หรอก

นี่มันคนไม่รอบเวลาพูดไง พูดผิดๆ ถูกๆ เราทำบุญน่ะ น้ำท่าเราก็ทำบุญเป็นปกติของเราแขกมาถึงเรือนชาน เราก็มีน้ำต้อนรับ นี่เหมือนกัน เรามีครูมีอาจารย์มาเราก็ต้อนรับ แต่อะไรที่มันเกินเลยไปไม่ถูกทั้งนั้น แต่พวกเราคิดไป พอเขาคิดไปเขาเจาะจงไป มันก็เลยทำกันอย่างนั้น มันไม่จริง พอถึงเวลาแล้วมันเป็นคนละกาล ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย

“เฮ้ย บนสวรรค์ไม่มีตลาดนะมึง ไม่มีการซื้อขายนะ ของใครของมันนะเว้ย ใครทำใครก็ได้ ใครไม่ทำก็อดนะมึง”

บุญกุศลมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เขาคิดกัน วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์อย่างนั้นไม่ได้ แล้วบางทีเราดูหนังสือนี่มัน บางทีมันสะท้อนใจ เขาจะบอกว่าพวกเราที่นับถือศาสนานี่งมงาย ไม่มีเหตุผล ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มึงเคยปฏิบัติไหม? แต่มึงเขียนนะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ๆ อ้าววิทยาศาสตร์มานั่งภาวนาดูสิ มา มึงจะรู้ศาสตร์ไม่ศาสตร์ ไม่ทำ ไม่เคยทำ ทำไม่เป็นมีแต่ติเตียนเขา แน่จริงต้องพิสูจน์เว้ย ถ้ามึงจริงมึงต้องพิสูจน์กัน พิสูจน์กันสิ อ้าว จริงหรือไม่จริง

ถ้าไม่จริงศาสนามันอยู่ได้อย่างไร? มันพิสูจน์ได้ ตอนนี้เพียงแต่เขียนไง เขียนให้เป็นจินตนาการ จินตมยปัญญา พวกที่นับถือศาสนาพวกนี้มันเป็นแบบว่าเชื่อด้วยความงมงาย ประเทศชาติไม่เจริญก็เพราะว่าตัวนี้ตัวถ่วง ถ้าคนเราเป็นวิทยาศาสตร์ พิจารณาด้วยปัญญาแล้วประเทศชาติเจริญ เจริญแบบอเมริกาไง เจริญไปเพื่อจะล้มไง เจริญไปแล้วมันก็คว่ำน่ะ เพราะอะไร เพราะเริ่มจากโลก โลกคือผลประโยชน์ โลกคือธุรกิจทั้งหมด แต่ถ้าเป็นธรรมะเห็นไหม เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธเลย

พูดถึงนี่ ในสมัยพุทธกาล เศรษฐีเขาจะมีโรงทานอยู่หน้าบ้าน เศรษฐีเขาจะมีโรงทานเลย เขาจะเจือจานเลย เศรษฐีนะ ใครเป็นเศรษฐี เขาจะมีโรงทาน จะคนทุกข์คนยาก เขาเลี้ยงเลยนะ เดี๋ยวนี้นักธุรกิจนะมันไม่ใช่อะไรนะ มันไม่ใช่ทำบุญ ธุรกิจมันต้องอะไรนะ ต้องผลกำไรอย่างเดียว ตักตวงผลกำไรอย่างเดียว นี่พูดถึงเวลาจิตไง พูดถึงการ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีชีวิตนี่สำคัญมาก

เรามาวัด เรามาได้ฟังอย่างนี้ มันกระตุ้นนะ มันกระตุ้นให้เราฮึกเหิม แล้วถ้าเราอยู่วัดของเรา หนังสือเปิดอ่านสิ ธรรมะก็เหมือนกัน อ่านแล้วทำไมมันเฉยๆ วะ มันอ่านแล้วมันยิ่งฆ่าเราไง เพราะอะไร? เราสงสัย เราไปตัดทอนความเข้มข้นของมันด้วยวุฒิภาวะของใจเราเอง วุฒิภาวะของใจเรา มันกิเลสมันปิดบังอยู่ แล้วเราก็ตัดทอนตัวเราเอง

แต่อย่างนี้เวลามันออกมานี่ น้ำป่าเห็นไหม เวลาน้ำป่ามันมานี่ มันพัดทุกอย่างไปหมดเลย ธรรมะที่ออกไปจากใจนี่ อะไรขวางไว้ไม่อยู่หรอก มันไปหมดเลย มันท่วมท้นไปเลย ทีนี้เพียงแต่คนรับรับได้ไหม คนรับมันจะเป็นประโยชน์ไหม อย่างน้ำป่ามานี่ ดูสิ เวลาแห้งแล้ง ภัยแล้งนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าน้ำป่ามาแล้ว ใช่ มันท่วม มันทำลายความเสียหายเหมือนกัน แต่มันก็ยังมีน้ำ แต่มันก็ยังมีสิ่งตกผลึกอยู่ มันจะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารมันจะเกิดขึ้นได้ว่าอย่างนั้นเถอะ

แต่ถ้าภัยแล้งไม่มีนะ หมดเลย แล้งไม่มีเลย แต่ถ้าน้ำป่ามันท่วมมานะ น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง ถ้าฝนแล้งนี่แล้งหมดเลยนะ แต่มันก็เสียหายทั้งคู่ แต่เราพูดคำว่าเสียหายแล้ว มันมีอะไรเป็นประโยชน์บ้าง สิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมา ชีวิตสำคัญตรงนี้ สำคัญมาก ตายเมื่อไหร่ก็จบเมื่อนั้นนะ ถ้ายังไม่ตายล่ะ

มีอะไรจะถามไหม? ถามมาสิ อ้าว เอาทีละคน

พระ : ตอนนี้ผมปฏิบัติคือการดูจิตอันนี้ ตามดูไปเรื่อย ทีนี้ผมโมโหเลย ก็รู้สึกอันนั้น ก็รู้ว่ารู้แค่นี้ อย่างนี้ปฏิบัติถูกต้องหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : เริ่มต้นนะ อย่างพวกอภิธรรมมานี่ อภิธรรมมานี่ ฟังนะเดี๋ยวจะโต้แย้ง ให้โต้แย้งเลย พวกอภิธรรมมานี่ เขาบอกว่าเขาปฏิบัตินี่ถูกต้องไหม? เขาปฏิบัติไหม? ปฏิบัติกำหนดนามรูปนี่ ใช่ เราบอกว่าถ้าปฏิบัติอย่างที่โยมพูดนะ พระไม่ใช่โยม เวลาที่ท่านพูดบอกว่า เวลาดูจิตแล้วจิตมันสงบอย่างนี้ถูกต้องไหม? มันดีไหม? ถ้าปฏิบัติเพื่อความสบายมันก็ถูกต้อง ถ้าเพื่อความสบายนะ

ทีนี้เราปฏิบัติเพื่ออะไรล่ะ? ถ้าเพื่อความสบาย เพื่อปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อความสบาย แต่ถ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผลนะไม่ถูก แต่เพื่อปฏิบัติเพื่อความสบายใจ นี่วุฒิภาวะของคน วุฒิภาวะของคนนี่นะ ทุกคนธรรมชาติมันฟุ้งซ่านใช่ไหม? มันฟุ้งซ่าน พวกเรานี่ทุกข์กันเพราะความคิด ความคิดเรานี่ทำให้เราทุกข์กันเอง ความทุกข์เรานี่ เพราะมันคิด มันเครียด มันทุกข์

ทีนี้ถ้าทำให้มันหยุดคิด พอหยุดคิดมันก็ว่า สิ่งนี้เป็นความสบายไหม? ต้องสบายแน่นอน เหมือนเราแบกของหนักมา แล้วเราทิ้งของหนักนั้น เราต้องเบาเป็นธรรมดาจริงไหม? ก็แค่นี้ ถ้าว่าปฏิบัติเพื่อความสบายๆ ปฏิบัติธรรมปฏิบัติ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในการประพฤติปฏิบัติ ดูสิ มหาวิทยาลัยทุกอย่างหรือการศึกษา แต่คนที่จะศึกษาเข้าไปได้นี่ต้องมีการคัดเลือกใช่ไหม? การปฏิบัติก็เหมือนกัน

เราจะปฏิบัติให้เข้าถึงธรรม วุฒิภาวะของจิตมันจะเข้าถึงไหม? นี่มันจะเข้ามา วนลงมาตรงนี้ เราถึงพูดวุฒิภาวะมาก่อน เพราะมันจะวนลงมา เพื่อมันจะย้อนกลับมาเรื่องปัญญาไง ถ้าคนที่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ปัญญาอย่างที่ใช้กันอยู่นี้ไม่มีทางฆ่ากิเลสได้ ไม่มีทางฆ่ากิเลสได้

เพราะสิ่งที่เราทำกันอยู่นี้ เหมือนเราอยู่ในประเทศไทย เราใช้เงินบาทใช่ไหม? เราไปอยู่ต่างประเทศนี่ เขาไม่ใช้เงินบาท เงินบาทจะใช้กับเขาได้ไหม? ต้องไปแลกเปลี่ยน นี่ทางโลกนะ เราพูดถึงว่าให้เห็นเป็นตัวอย่างไง เงินบาทใช้ได้เฉพาะในประเทศไทย เอ็งไปต่างชาตินี่เขาใช้เงินบาทไหม? แต่เดี๋ยวนี้แบบมันใช้ได้เพราะอัตราแลกเปลี่ยนมันมีใช่ไหม? แต่ความจริงมันใช้ไม่ได้

เราจะบอกว่าปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่มันเป็นโลกียปัญญา คือปัญญาจากสามัญสำนึก คือปัญญาจากสมองของเรา จิต อาการของจิต ตัวจิต ตัวจิตคือตัวพลังงาน ตัวความรู้สึกเรานี่ตัวจิต ตัวความรู้สึกไม่ใช่ความคิด ความรู้สึกนะ เข้าใจคำว่าความรู้สึกไหม? แล้วก็ความคิดอีกอันหนึ่ง ความรู้สึกเรานี่คือตัวจิต ความคิดจะเกิดจากจิต ถ้าความคิดเป็นจิต (ค่อยๆ ตามนะ)

ถ้าความคิดเป็นจิต เวลาความคิดไม่มี เราต้องตาย ความคิดเห็นไหม ความคิดมันเกิดดับใช่ไหม? เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็โมโห เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ชั่ว เห็นไหม คิดน่ะ เห็นไหม มันเกิดดับใช่ไหม? แต่เราอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ถ้าเราดูไปๆ ไอ้ความคิดตรงนี้มัน จะดูหรือไม่ดู ความคิดมันเกิดดับโดยธรรมชาติ อย่างที่เราคิดกันอยู่นี่เราโมโห หรือเรามีอารมณ์ความรู้สึก เราคิด พอมันเหนื่อยมันหยุดได้ใช่ไหม? มันหยุดโดยธรรมชาติของมัน

ถ้าไม่หยุดเราอยู่กันไม่ได้หรอก เราบ้าแล้ว ที่เราไม่บ้าเพราะอะไร? เพราะมันถึงที่สุดแล้ว มันเป็นอนัตตา ความรู้สึกความคิด ทุกอย่างในโลกนี้เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นความทุกข์ สิ่งใดเป็นความรู้สึก สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” ความทุกข์ไง ความทุกข์ที่เกิดจากความคิดไง ความทุกข์สิ่งที่เรารับรู้นี่มันเกิดจากความคิด มันเป็นความทุกข์ไหม? คิดแล้วดีใจ คิดแล้วเสียใจเห็นไหม นี่มันทุกข์

ถ้ามันทุกข์มากๆ นะ มันสะเทือนใจมากๆ นะ บางคน โอ้โฮ จนไม่ไหวเลยนะ แต่ถ้าวันเวลามันจะรักษา รักษาด้วยเวลา เห็นไหม มันจะจางไป ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เอ็งจะดูจิตไม่ดูจิตมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ คือของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

แล้วเรามาตั้งใจดูใช่ไหม? เรามาตั้งใจดูๆ ตั้งสติแล้วดู พอตั้งสติแล้วดู เออ เห็นไหม ดูจิต ให้จิตมันหยุด พอหยุดแล้วก็ อื้ม สบายๆ ถ้าอย่างนี้นะ ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ปัญญาที่พระพุทธเจ้าต้องปรารถนา หรือปัญญาที่พระพุทธเจ้าต้องการ ไม่ใช่ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างที่พระพุทธเจ้า ดูสิ อย่างที่ว่ากาฬเทวิล หรืออาฬารดาบสเห็นไหม เขาเข้าฌานสมาบัติได้ สมาบัติ ๘ เขาเข้าได้สบายๆ เลย

เพราะสมาบัติเห็นไหม เขาได้สมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ เข้าออกได้ตลอดเวลา คำว่าเข้าออกได้ตลอด จะเหาะเหินเดินฟ้า จะไปนอนบนพรหมได้นี่ ไอ้ฌานสมาบัตินี่ต้องเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานที่คงที่ตลอด ดูฤๅษีเหาะมาอย่างนี้เลย พอมาเจอผู้หญิงอาบน้ำ เห็นผู้หญิงอาบน้ำนะ มีอารมณ์ปฏิพัทธ์เข้านะ ผลัวะ! ตกเลย แล้วถ้ามึงจะไปอยู่นอนบนพรหม เดี๋ยวมึงกลับมาไม่ได้

ฉะนั้นฌานสมาบัติมันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เราจะย้อนกลับไปเทียบได้กับ ดูจิตๆ ดูจิตมันทำให้จิตสงบ ไม่ใช่ฌานสมาบัติด้วย ดูจิตมันกำหนดจิต เหมือนกล้องวงจรปิดนี่มันเพ่งดู กล้องวงจรปิดเพ่งดู กล้องวงจรปิดนั้นมันได้อะไรขึ้นมา เกิดดับๆ ดูถนนหนทางสิ แสงเวลาแสงมันสลัวนี่ไฟมันติดเองเลย เวลามันสว่าง ไฟมันดับทันทีเลย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนี้ มันไม่มีปัญญาไง

ถ้าพูดถึงปฏิบัติเพื่อความสบาย คนสอน วุฒิภาวะคนสอนมากน้อยแค่ไหน? ถ้าวุฒิภาวะคนสอนมันสอนได้พื้นฐาน เหมือนเรานี่ เราเรียนจบ ปกศ. มาเราก็สอนนักเรียนอนุบาลใช่ไหม? คนจะสอนมหาวิทยาลัยเขาต้องจบปริญญาตรี ปริญญาโท เขาถึงจะสอนมหาวิทยาลัยได้ใช่ไหม? นี่ก็เหมือนกัน กูสอน ก.ไก่ ก.กา กูก็พอแล้ว พอมันสอนอย่างนั้นปั๊บ ก.ไก่ ก.กา นี่มึงจะไปหากินได้ไหม?

แต่สำหรับเรื่องจิตมันเรื่องพิสดาร ทีนี้คำว่าดูจิตนี่นะ คำว่าดูจิต แต่ถ้าสำหรับเราสอนนะ มี เขาพวกดูจิตเขาพยายามจะมาหาเรา แล้วเขาบอกว่าจะเคลมว่าเราพูดเหมือนกันเพราะเราพูดเรื่องจิต อาการของจิตเหมือนกันเลย แต่บอกว่าไม่เหมือน เขาเพ่งดู แต่ของเราใช้การใคร่ครวญ การพิจารณาจิตเพ่งดู กับการพิจารณา เขาเพ่งดู แต่เราต้องพิจารณา

การพิจารณาจิต ปัญญาอบรมสมาธิ เวลากำหนด ใครมา เราสอนพุทโธก่อนเลย เพราะกรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทโธๆ นี่ โดยพื้นฐานให้สอน พุทโธก่อน พุทโธๆๆ พุทโธนี่ พลังงานคือตัวจิต ความคิด เห็นไหม ความคิด พุทโธเป็นความคิดไหม? พุทโธก็เป็นความคิด ใช่ไหม เราคิดพุทโธขึ้นมา แต่พุทโธนี่เป็นพุทธานุสติ พุทโธๆๆ มันดับใช่ไหม?

แต่ถ้ามันเป็นความคิดธรรมชาติของมัน เราคิดสิ พอคิดเรื่องผู้หญิง ผู้หญิงสวย ผู้หญิงดี ผู้หญิงงาม มันหยุดไหม? มันต่อเนื่อง พุทโธนี่มันไม่ใช่ผู้หญิง พุทโธๆ พุทกับโธ ก็พุทกับโธ พุทกับโธ ก็พุทกับโธ มันต่ออะไรไป? แต่ถ้าคิดเรื่องผู้หญิงมันไม่ใช่ผู้หญิง เพราะผู้หญิงปั๊บ มันต้องต่อเนื่องไป ต่อเนื่องๆๆๆ ไป จริงไหม? อารมณ์โลกเป็นอย่างนั้นใช่ไหม?

ทีนี้พุทโธๆ นี่พุทโธเพื่อหยุดพุทโธ แล้วใครเป็นคนคิดพุทโธ จิตพลังงานเป็นตัวคิด มีสติ พุทโธๆๆ จนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน มันนึกพุทโธไม่ออก มันนึกไม่ได้ เป็นตัวกูแล้ว เย็บปากมันพูดไม่ได้เลย แต่ถ้า พุทโธๆ กูท่องอยู่นะ นี่คือสมาธิ สมาธิคือมีสติรู้พร้อม ฉะนั้นเราถึงบอกว่า ที่เขาว่าว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ คือไม่ว่าง ว่างๆ ที่เขาพูดกันนะคือไม่ว่าง

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะกูพูดว่าว่างไง กูพูดว่าว่าง กูคิดว่าว่าง เห็นไหม ความคิด ที่ว่าดูจิต ดูความคิด ดูเกิดดับ ดูจิตๆ มันดูที่ความคิดนะ มันคิดมันเกิดใช่ไหม? แล้วก็ดับใช่ไหม? แต่เราอยู่ไหนล่ะ เรารู้ว่าเกิดดับ เรารู้ว่าเกิดดับ เรารู้ว่าเกิดดับแต่เราไม่ดับ

แม้แต่สมาธิยังไม่ใช่สมาธิเลย ว่างๆ ว่างๆ น่ะไม่ใช่ว่าง ความคิด เราคิดน่ะ เราคิดให้ว่าง เราถึงบอกว่าธรรมะไร้เดียงสา การปฏิบัติแบบไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเพราะจิตมันไร้เดียงสา มันสอนแบบไร้เดียงสา แล้วทำกันแบบไร้เดียงสา เพ่งกันอยู่อย่างนั้น ได้อะไร เพราะ มัน ทุกคนจะพูดอย่างนี้ ทุกคนจะบอกว่าก็ปฏิบัติแล้ว แล้วมันสบาย

เด็กมาที่นี่ทั้งหมดนะ ทุกคนอาบน้ำ กินนมแล้วนอน สบาย.. แต่ถ้ามึงมาหากูนะ มึงไม่ได้กินนมแล้วนอนหรอก มึงต้องทำงาน โอ๊ย ลำบาก ลำบากไปหมดเลย ของจริงต้องลำบากเว้ย ไม่ใช่มาถึงแล้วกูโอ๋นะ อาบน้ำ ประแป้ง กินนม นอน.. สบาย..สบาย.. สบายของมึง สบายของมึง ก็กินนมแล้วก็นอนอยู่นั่น แล้วมึงไปไหน? มึงทำอะไรต่อ? ก็เพ่งกันอยู่อย่างนั้น ดูจิตอย่างเดียว ไม่ให้ทำอะไรเลย เราบอก ผิด

แต่ถ้าเป็นหลวงปู่ดูลย์ ถูก หลวงปู่ดูลย์บอกว่าความคิดทั้งหมด ในโศลกเห็นไหม

“ความคิดทั้งหมด สิ่งที่เราคิดทั้งหมด ให้ผลเป็นสมุทัย เป็นความทุกข์ (ความคิดนี่ให้ผลเป็นความทุกข์) ต้องหยุดความคิด แต่การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด”

หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนอย่างนี้ การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิดหยุดมัน ไม่ใช่เพ่งหยุดมัน รถนี่มันจะจอดได้ เราต้องจอดเข้าที่ แล้วเราจะออกตัวต่อไปใช้อย่างไรก็ได้ รถมันจะจอด เจาะยาง ดับ ปล่อยลมยางหมดเลย จอดนิ่งเลย ออกตัวไม่ได้แล้ว เพราะยางรถกูไม่มีลม นี่ไง ความคิด เห็นไหม ผลที่ให้คือความคิดเห็นไหม ให้ผลเป็นทุกข์

ผลที่เราคิดกันอยู่นี้ ผลของมันคือทุกข์ คือสมุทัย ก็เราคิดจินตนาการไปสิ อย่างคิดถึง ตอนนี้ลืมปิดประตูที่กุฏิ ที่วัด ลองคิดสิ ลืมปิดกุฏินะ โอ้โฮ ร้อนแล้ว ออกมานี่ยังไม่ได้ปิดไฟเลย ยังไม่ได้ปิดกุฏิเลย ของเก็บไว้ไม่เรียบร้อย คิดสิ ร้อนแล้ว ทุกข์เพราะความคิด อ้าว ก็ความคิดตามมันสิ เฮ้ย ถ้ามันไม่ได้ปิดก็สั่งให้คนอื่นปิดก็ได้ ให้คนดูแลให้ก็ได้เห็นไหม เอาความคิดแก้เห็นไหม มันก็จบ เห็นไหม

พอคิดว่ากุฏิยังไม่ได้ปิดเลยนะ ก็เพ่งสิ ดูๆ ดูให้มันดับ คอยดูให้มันดับ ดูให้มันดับไง หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดสอนอย่างนี้จริงๆ เพราะเราดู เราดูหลวงปู่ฝากไว้

“ดูจิตให้จิตสงบ จนจิตเห็นอาการของจิต แล้วพิจารณามัน”

คำว่าดูจิตของท่าน ดูจิต ท่านจะเน้นนะ เวลาท่านเขียนโศลกนะ ท่านจะเขียนคำว่า “ดู” หรือ “รู้” นี่ตัวใหญ่ นี่คำว่าดูหรือรู้ตัวใหญ่ๆ เขาจะให้ดูแบบผู้บริหารไง แบบเราเป็นเจ้าอาวาสก็ต้องรับผิดชอบทั้งวัด ไม่ใช่ดูแบบเด็กวัดไง เด็กวัด หลวงพ่อสั่งให้ดูก็ดูไง มีใครเข้าออกจดให้เลยนะ มีคนเข้ามา ๕ คนครับ ออกไป ๗ คนครับ เข้ามานี่ ดูก็ดูวะ แต่เจ้าอาวาสดูอย่างนั้นได้ไหม?

การดูกันเราจะบอกว่าท่านหมายถึงว่าดูแบบพิจารณา ดูแบบผู้มีปัญญา ไม่ใช่ดูแบบนักการภารโรง ดูก็ดู ดูอย่างนั้นคือเพ่ง เพ่งคือกสิณ แล้วเขาพยายามจะมาพูดนะ เขาพยายามจะพูดให้เราเห็นด้วย เมื่อก่อนยิ่งกว่านี้อีก สติไม่ต้องฝึก กูตอกกลับเลย ทำไมมีสติ ทำไมมีมหาสติ ทำไมมีสติอัตโนมัติ เราจะบอกว่าสตินี่มันเติบโตได้

ต้นไม้เล็กปลูกไป มันจะเป็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นมา ทำไมในการประพฤติปฏิบัติ ทำไมมีสติ มีมหาสติ แล้วสติกับมหาสติมันต่างกันอย่างไร? แล้วบอกไม่ต้องหรอกมันเป็นเอง เป็นเองมันก็ก๊อบปี้ไง ถ้าคนเป็นนะฟังแล้วรู้เลยล่ะ ไม่เป็น นี่คำว่าดูจิตนะ ทีนี้ถ้าพูดถึงถ้าเราดูจิตมาแล้วเราพิจารณามันสิ เราไม่ใช่ดูอย่างที่เขาสอนให้ดู

ดูเพ่งเฉยๆ มันคือ มันเหมือนกสิณน่ะ แต่ของเรานะ ถ้ากำหนดพุทโธแล้วไม่ได้ เราจะพูดอย่างนี้ พุทโธๆๆ นี่เป็นเจโตวิมุตติ เจโตวิมุตติคือสมาธิอบรมปัญญา แบบสายทางของพระโมคคัลลานะ ถ้าใช้ปัญญาใช้ความคิด ใช้ความคิดนะ ใช้ความคิดไป แล้วสติตามความคิดไป เราจะเห็นข้อบกพร่องของเรา พอมันเห็นข้อบกพร่องของเรานี่ เราจะเห็นโทษของเรา พอเราเห็นข้อบกพร่องของเราบ่อยครั้งเข้า มันทันความบกพร่องของเราใช่ไหม?

มันก็จะเตือนเราว่า คุณไม่ควรทำอย่างนั้นๆ มันจะพัฒนาเรา พอมันพัฒนาเรา มันพัฒนาจนถึงว่าถ้ามันจับ ความคิดจะขึ้น มันจะทันความคิดของตัวเอง นี่คือปัญญาอบรมสมาธินะ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ พอเป็นปัญญาวิมุตติ พอปัญญาวิมุตตินี่มันใช้ปัญญา พระสารีบุตร ถ้าเป็นสมาธิอบรมปัญญาจะเป็นฝ่ายของพระโมคคัลลานะ อย่างเช่นหลวงปู่คำดี หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เจี๊ยะ ทางฝ่ายนี้เป็นสมาธิอบรมปัญญา เป็นเจโตวิมุตติ

ถ้าเป็นอย่างใช้ความคิดนี่ มีหลวงปู่ดูลย์ หลวงตา นี่คือใช้ปัญญานำ เป็นปัญญาวิมุตติ ทีนี้ถ้าปัญญาวิมุตติไป ปัญญาวิมุตติมันก็ จะเป็นปัญญาวิมุตติหรือว่าเจโตวิมุตติ ไปดูในมุตโตทัยสิ มุตโตทัยนี่ข้อสุดท้ายในมุตโตทัย มรรคญาณมีหนึ่งเดียว มรรคสามัคคีมีหนึ่งเดียว ไม่มี ๒ จะเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติแล้วแต่ ผลสรุปแล้วเหมือนกันเปี๊ยบเลย อริยสัจมีหนึ่งเดียว พูดเหมือนกัน เพราะอะไรรู้ไหม?

เพราะสิ่งที่มันจะเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติมันเป็นมรรค ๘ มรรค ๘ เห็นไหม มีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฐิ สัมมากัมมันโต เห็นไหม มีงานชอบ เพียรชอบ เหมือนกันๆๆ มันเหมือนเราเป็นทหาร อย่างเรานี่เป็นทหารเรือ เป็นนาวิกโยธิน เราชำนาญในการโดดร่มลงทะเลมาก เราจะมีความชำนาญในนั้น แรงเยอร์ มันก็ชำนาญของมัน เราจะบอกทหารบก ทหารเรือไง มันไป แต่พูดถึงแล้วเขาก็ใช้อาวุธเหมือนกัน

อาวุธของเขา เพียงแต่ว่าเขาอยู่ในสายไหน อาวุธของเขา เช่น ลงน้ำ เห็นไหม อาวุธของเขาต้องป้องกันเพื่อการใช้งานได้ นี่ถ้าเป็นจริงมันต้องเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นจริงแล้วนะมันไม่ค้านกัน แหม เอาแบงก์จริงมาวางตรงนี้นะ แบงก์อันไหนก็ใช้ได้หมด แต่กูแผ่ออกมา แบงก์ของกูนี่มันไม่เหมือนเขาเลยอย่างนี้ อู้ ต้องไปหาแบงก์มาเทียบหรือเปล่าวะ?

ธรรมะจะไม่ขัดแย้งกันเลย ธรรมะจะไปแนวทาง เราจะบอกว่าสังคมมันแปลกอย่างเดียวเท่านั้น มันแปลกที่ว่าคนรู้จริงมันน้อย แล้วคนรู้จริงนะ คนรู้จริงมันต้องแบบเห็น ถ้าคนรู้จริงมันจะอธิบายถึงความจริงได้ถูกต้องไง แล้วของปลอมมันกลัวของจริงน่าดูเลย มันไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ มันกลัวโดนล้วงไส้

พระ : อย่างนี้หมายความว่าปฏิบัติได้ ๒ วิธีคือ

หลวงพ่อ : ๔๐ วิธี

พระ : แต่ว่าจะทำวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : ผลสุดท้าย ก็คือตัวเลือก

หลวงพ่อ : ผลสุดท้ายเป้าหมายอันเดียวกัน แต่! แต่ต้องมีอาจารย์ ตรงนี้มันสำคัญนิดหนึ่ง ตรงอาจารย์นี่ ถ้าไม่มีอาจารย์นะ นักกีฬา บอลนี่ ๒ ทีม ถ้าไม่มีกรรมการ เอ็งว่าแหลกไหม? บอลนี่ถ้าไม่มีกรรมการอยู่ในสนามด้วยนะ เอ็งว่าบอลนั้นแข่งกันได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลย เนอะ ในสนามฟุตบอลถ้าไม่มีกรรมการคอยเป่านกหวีด เอ็งว่าเละไหมในสนามนี้?

ในสังคมปฏิบัติปัจจุบันนี่นะ เพราะลูกศิษย์มาหาเรา เราสงสารมาก พวกดูจิตมาหาเราเยอะ แล้วเราแก้ พอเราแก้เราให้พุทโธ แล้วก็มาหาเรา “โอ้โฮ หลวงพ่อ พุทโธไม่ได้เรื่องเลย ทำไมต้องพุทโธล่ะ” เราบอก “จำเป็นต้องพุทโธ” เพราะพุทโธนี่มันทำไม่ยาก แล้วพอเขาทำเต็มที่แล้วก็ทำไม่ได้ นี่มาหาเราบอกว่า “ไม่ได้ ต้องใช้ความคิดดี” “ใช้ไปเลย ใช้เลย ใช้ความคิดเลย”

พอใช้ความคิดเลย เราตาม เรามีสติตามไป เดี๋ยวมันจะหยุดให้มึงดู แล้วพอหยุดปั๊บเราเห็นโทษไง นี่เราจะบอกกรรมการตรงนี้ เพราะพอเสร็จแล้วพอเขามาหาเรานี่ ทุกคนก็บอกผิด ต้องพุทโธ ถ้ามาหาว่าพระป่า “พระป่าบอกไม่ได้ต้องพุทโธ” ไม่ใช่ ไม่ใช่

หลวงตาท่านไม่ได้สอนพุทโธตายตัวนะ แต่โดยหลัก โดยพื้นฐานของเราที่เด็ก ที่มันจะมีการศึกษา เราต้องสอนให้มันจำตัวอักษรได้ก่อนจริงหรือเปล่า? เด็กทุกคนถ้ามันสะกดตัวอักษรไม่ถูก มันจะผสมคำได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? มันต้องเอาตัวอักษรให้ได้ก่อน นี่พื้นฐานเหมือนกัน ถ้าเรามีสมาธิก่อน เราจิตสงบขึ้นมาก่อน ทีนี้พอจิตไม่สงบ พอจิตไม่สงบนี่เราทำอะไรไม่ได้หรอก

ทีนี้พอทำอะไรไม่ได้นี่ สิ่งที่พอทำไม่ได้ มันการปฏิบัติต่อไป คำว่ากรรมการ คือผู้ที่ปฏิบัติมันจะปรึกษากัน แล้วมันจะชี้ว่าคนหนึ่งผิดตลอดไง นักกีฬาๆ มันจะเสียบกันเองๆ ไม่มีกรรมการ

พระ : มันเหมือนกับแบบนี้หรือเปล่าครับ คือพอนั่งพุทโธ กำหนดพุทโธ เราก็จะมีสมาธิขึ้นมา แต่มันก็ยังมีแบบความคิดแวบเข้ามา ความคิดนี่ล้างมันออกไป

หลวงพ่อ : อันนี้ทฤษฎี

พระ : คือ ตอนที่ผมปฏิบัติตอนนั้นครับ

หลวงพ่อ : ใช่ เราจะบอกอยู่เดี๋ยวจะว่า เพราะพูดเข้าใจแล้วล่ะ เวลามันพุทโธๆ นะ มันเป็นสมาธินะ แล้วมีอะไรแวบเข้ามามันไม่เป็นสมาธิหรอก ถ้ามันเป็นสมาธิมันจะไม่มีอะไรแวบเข้ามา ไอ้ที่พุทโธๆ อยู่นี่เราพุทโธๆ อยู่ แต่ยังไม่เป็นสมาธิ แต่มันเป็นกำปั้นทุบดิน คือของที่มันทำได้ง่ายกว่า

คืออย่างเรา เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราไม่ต้องไปวิเคราะห์หรอกว่าสารนั้นจะผิดอย่างไร? ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับกู ทำให้เสร็จ ให้กูใช้ได้ก็พอ พุทโธๆ ไปก่อน พุทโธนี่มันไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจัยใช่ไหม? พุทโธๆ เลย ถ้าเรามัวไปวิเคราะห์วิจัยอยู่นะ สงสัยกูจะไม่ได้ใช้แล้ว กูทำไม่ได้ เราก็พุทโธๆ ไป มันง่าย พุทโธนี่มันง่าย ทีนี้เพียงแต่ว่ามันต้องมีความมั่นใจ มีความเชื่อ

นี่ประสาเรานี่ เราจะบอกว่าปัญญาชนนี่พุทโธไม่ค่อยได้ ไม่ได้ ปัญญาชนนี่พุทโธไม่ได้ เหมือนกับเป็นการบังคับให้เรายอมเชื่ออะไรอย่างหนึ่ง แล้วจิตใจมันจะไม่เชื่อ มันเหมือนกับบังคับให้เราเชื่อไง ทีนี้ ถ้าเราพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่ความเชื่อ มันเห็น เราจะบอกว่าไฟ เอ็งจุดไฟแล้วมาเผาเรา เราจะร้อนไหม? แน่นอน โอ้โฮ สะดุ้งสิ

กำหนดพุทโธๆ เวลามันเป็นสมาธินะ โอ้โฮ มันเป็นอย่างนี้ นี่เพียงแต่ว่ากำหนดพุทโธๆ ที่ว่ามันเริ่มแบบว่า เริ่มมีจุดยืน จิตเริ่มมีจุดยืน ยังไม่เป็นสมาธิ พอจิตเริ่มมีจุดยืน มันแวบเห็นไหม แวบนั่นคืออะไรรู้ไหม? แวบนั่นกิเลสมันต่อต้านนั่นน่ะ พุทโธๆ ถ้าพุทโธไปเรื่อยๆ มันก็จะดีขึ้นมา ทีนี้มันก็แวบออกๆ เพราะกำหนดพุทโธ ทุกคนจะพูดอย่างนี้

เราถึงได้พูดเห็นไหม ที่สงสัยเราเมื่อก่อนเห็นไหม ที่เราบอกว่ากูมี ๕ เกียร์ๆ อะไรตรงนี้ รถกูมี ๕ เกียร์นะเว้ย เฮ้ย วันนี้กูสบายใจนะ กูว่า พุทโธๆๆ น่ะ วันนี้เราพุทโธ พุทโธๆ เข้าไป กูใส่เลยล่ะ รถกูมีหลายเกียร์ เห็นไหม รถเอ็งมีเกียร์ ๑ เกียร์เดียว พุทโธๆๆ เวลาเขามาด่ากูก็ยัง พุทโธๆ พุทโธ โมโห พุทโธก็ไม่ทัน มึงมีเกียร์เดียวมึง แล้วคนภาวนาเป็นมันจะพลิกแพลง มันจะมีอุบาย

ทีนี้พุทโธนี่มันมีผ่อนสั้นผ่อนยาว ถ้าเราทำโดยพาซื่อ โดยที่ว่าเราเถรตรงกับตัวเองนะ โอ้ กิเลสมันหัวเราะ อู้ว ไอ้หัวโล้นนี่โง่ฉิบหาย ให้กูหลอกแล้วหลอกอีก ก็กิเลสเรานี่มันเยาะเย้ย แต่เราไม่รู้ตัวหรอก มันจะบอกเลยนะว่า ไอ้หัวโล้นนี่โง่ฉิบหาย ให้กูเขกหัวเล่นอยู่ได้ทุกวัน ทำไมมึงไม่พลิกแพลงล่ะ นี่เขาเรียกอุบาย

ยังไม่ปฏิบัตินะ ยังไม่เคยไปต่อสู้กับกิเลสนะ จะไม่เห็นฤทธิ์ของกิเลสเลยว่ามันจะพลิกแพลงนะ มันจะหลอก โอ๊ย โดนหลอกหมด วันนี้มีคนมาถามเยอะมาก วันนี้มาอยู่คนหนึ่งเขาบอกว่า ปฏิบัติที่ไม่ผิดทำอย่างไร? เราบอกว่าในโลกนี้ไม่มี การปฏิบัติที่ไม่ผิดในโลกนี้ไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าผิดอยู่ ๖ ปี

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๖ ปีนั้นผิดหมด พระพุทธเจ้าผิดอยู่ ๖ ปี หลวงปู่มั่นท่านกว่าจะหาทางถูกของท่านมา ท่านใช้ประสบการณ์นะ แล้วท่านสร้างบุญญาธิการของท่านมามาก เพราะท่านบอก ท่านก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน หลวงปู่มั่น เพราะมีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมีอำนาจวาสนาบารมี เวลาท่านไปปฏิบัติท่านถึงไม่เชื่ออะไร?

ต้องทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบแล้วย้อนกลับไปพระไตรปิฎก แล้วก็ทดสอบกลับมาที่ใจเรา ทดสอบตรวจสอบ ไม่ใช่ว่าที่เขาพูดนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาก็พระอรหันต์ พุทโธๆ ๒ วัน แม่งเป็นพระอรหันต์แล้ว โอ้โฮ มันเกินไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เชื่อเลยนะ

ถ้าพูดถึงเวลาการปฏิบัติที่มันจะไม่ผิดเลย ไม่มีหรอก เพราะอะไรรู้ไหม อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ อย่างที่เริ่มต้น ในเมื่อทุกคนมันเกิดจากกิเลส มันเกิดจากอวิชชา ทุกคนเกิดจากเพราะความไม่รู้จักตัวเอง อวิชชาคือไม่รู้จักตัวเอง รู้ไปหมด จบการศึกษาอะไรมานี่ เก่งฉิบหายเลย รู้ทุกเรื่องเลย แต่ไม่รู้เรื่องกู ไม่รู้ รู้ไปหมด ในโลกนี้มึงจะถามอะไรกูมากูตอบได้หมดเลย

ถามมึงเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากแม่ นี่เพราะทุกคนเกิดมาจากอวิชชา เกิดมาจากความไม่รู้จักตัวเอง แล้วพอปฏิบัติแล้วจะให้ถูกนะ โลกนี้ไม่มี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังผิดมา ๖ ปี แล้วพอปฏิบัติผิด-ถูกไม่สำคัญ วันนี้เราพูด ตอนจะกลับก็พูด โอ้โฮ ได้กำลังใจมาก มันผิด ผิดนะเราก็ดัดแปลง ผิดใช่ไหม?

ดูสิ เราก่ออิฐเห็นไหม เบี้ยว ใครไม่เคยไปฝึกงานก่ออิฐสิ ไม่มีทาง ใครจะก่อได้ตรงไม่มีหรอก ขึงขนาดไหนมันก็ยิ่งเคาะยิ่งเบี้ยว แต่ทำไปเรื่อยๆๆ จนมีความชำนาญ นี่ก็เหมือนกันปฏิบัติไปนะผิดหมด คนปฏิบัติถูกเริ่มต้นนะ กูไม่เชื่อ ไม่มี แต่ต้องปฏิบัติไป อาศัยประสบการณ์ของเรานี่แหละ ยิ่งกลัวผิดนะ อภิธรรมนี่เอามากางกันเลย แผนที่นี่เดินตามแผนที่เลย

แผนที่มันกระดาษแผ่นเดียวใช่ไหม? มึงเดินไปทางนี้มึงไปไหน? มึงเดินเหมือนเด็กเล่นเกมส์ ที่มันโดดๆ กันบนนั้น เอาแผนที่มากางก็เดินบนแผนที่ มึงก็เดินบนกระดาษไง ข้อเท็จจริงในพื้นที่ โอ้โฮ ย่อส่วนมาอีกขนาดไหน ยิ่งกลัวผิดนะ กางแผนที่กันเลย ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ผิดทั้งนั้น

ใครปฏิบัติแล้วถูกนะ อาจารย์ ให้พระพุทธเจ้าสอนด้วย เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเรามีอวิชชา เพราะเราไม่รู้จักตัวเราเอง มันต้องเคลียร์กับเราก่อน จิตมันสงบหรือยัง เห็นไหม หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า ทำความสงบเข้ามาเลย ทำความสงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตมันสงบปั๊บนะ จิตมันสงบนะ มันไม่มีตัวตน สมาธิคือการกดตัณหาความทะยานอยากของเรา ตัวตนของเรานี่ ถ้ามีตัวตนของเรานี่ มันอยากได้อยากดี มันคิดเข้าข้างตัวเองทั้งหมด ความคิดของเราคิดเข้าข้างตัวเองทั้งหมด

แล้วอ่านพระไตรปิฎกมานี่กูรู้หมดแล้ว นิพพานนี่กูสร้างได้หมดเลย ว่าง โอ้โฮ นิพพาน อย่างนั้นๆ นิพพานมึงสร้าง ว่างๆ ถึงไม่ว่างไง เพราะตัวมึงไม่ว่างก่อน ไม่มีทาง มันเป็นจินตมยปัญญา พระพุทธเจ้าถึงสอนนะ สุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา แก้กิเลสไม่ได้ ต้องภาวนามยปัญญา ทำไมถึงต้องเป็นภาวนามยปัญญา? เพราะภาวนามยปัญญามันไม่มีเราบวก

การภาวนานี่ เรานั่งพุทโธๆ เป็นภาวนามยปัญญาหรือยัง? ยัง ผู้ที่จะเห็นภาวนามยปัญญาเป็นข้อเท็จจริง ต้องอย่างน้อยพระโสดาบัน เพราะสิ่งที่มันเป็น เหมือนกับไอ้นี่ ไอ้พวกสิ่งที่เป็นวัตถุเห็นไหม สิ่งที่เป็นสารเคมีเขานั่งวิจัยกัน มันต้องสะอาดใช่ไหม? สมดุลกันแล้วมันจะผสม ทดสอบแล้วมันจะออกมาเป็นสิ่งที่เราทำการวิจัย

จิตที่มันเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าสมบูรณ์แล้วนี่ มันจะชำระกิเลส เพราะมัคคะมันจะสามัคคี มรรคญาณมันจะรวมตัว แล้ว ผลัวะ! กิเลสขาด คนจะเห็นภาวนามยปัญญา โดยที่ว่าอธิบายได้ เข้าใจได้ ต้องเป็นพระโสดาบันอย่างต่ำ

ฉะนั้นเราปฏิบัติกันอยู่นี่ไม่มีหรอก ยังไม่เป็นภาวนามยปัญญาหรอก เป็นปัญญาถูไถ ถูไถกันไปก่อน ถูกันไป ไถกันไป สีข้างอัดเข้าไป เดี๋ยวมันก็เป็นขึ้นมาได้ ฉะนั้นปฏิบัตินะ เริ่มต้นนะ ไม่ผิดกูให้เตะ ผิดทั้งนั้น นี่เราพูดเป็นวิทยาศาสตร์นะ เราพูดเป็นเห็นในข้อเท็จจริง แต่อย่าเสียใจ อย่าน้อยใจ เราต่างหากเป็นสุภาพบุรุษ เราต่างหากมีความตั้งใจมีความจงใจ

เรามือไม้เราสะอาด เราเป็นสุภาพบุรุษ เราจะศึกษาธรรมะ เราศึกษาด้วยข้อเท็จจริง เราจะได้ของจริงกันไง อย่าศึกษาด้วยความโลภ ละโมบ ว่าเราทำอย่างนั้น แล้วเราจะได้ผลอย่างที่เราคาดหมายกัน มันก็จะได้ผลที่เกิดจากความโลภความละโมบ มันไม่เป็นธรรมะ อย่าไปคาดหวังว่าเราจะต้องสะดวกสบาย เราจะทำได้อย่างที่เราต้องการ เป็นความโลภละโมบนะ แล้วมึงจะได้อะไรล่ะ? ก็มึงเริ่ม นี่ไง ที่อภิธรรมเขาบอกว่า “ห้ามมีความอยากนะ มีความอยากแล้วปฏิบัติใช้ไม่ได้ มันผิดหมด”

ถ้าเรามีความโลภความละโมบ นี่คือความอยาก แต่ถ้าไม่มีความอยากเลยนะ ไม่มีเหมือนกัน ทุกคนเกิดมา โดยจิตใต้สำนึกมีความอยากไหม? มี แต่ความอยากอย่างนี้ไม่ใช่กิเลส ความอยากอย่างนี้เป็นมรรคอยากดี เราอยากทำอยากปฏิบัติ อยากศึกษา อยากทำ นี่เป็นความอยากนะ ความอยากอย่างนี้เป็นความอยากที่ดี ไม่ใช่ความอยากที่เสียหาย เป็นมรรค

ทีนี้เป็นมรรคใช่ไหม เราละโมบ อยากอย่างนั้นคืออยากด้วยตัณหาความทะยานอยาก แต่มัน โดยสัญชาตญาณ เหมือนกับพลังงาน ความร้อนมันมี เราเอาพลังงานนั้นไปใช้ประโยชน์ เราเอาไปใช้ประโยชน์มันผิดตรงไหน? ในเมื่อสัญชาตญาณของเรามันมี นี่คือตัวอยากลึกๆ ทีนี้ตัวอยากลึกๆ เราเอาความอยากอย่างนี้ให้มันออกไปใช้เป็นประโยชน์

เหมือนเรา เราไม่ใช้ไปทางเสียหาย ไม่มีหรอก ไม่มีความอยากเลย ไม่มีความอยากเลย จะบอกอย่างนี้คือคนตายไง คือไม่มีพลังงานจริงไหม? พลังงานต้องมีค่าความร้อนเป็นธรรมชาติ มีจิตอยู่ต้องมีความอยากเป็นธรรมชาติ ถ้ามึงบอกไม่มีความอยากเลยก็พระอรหันต์ทั้งนั้น ไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นความอยากอันนี้ มันถึง เราถึงอยากเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่เสียหาย

พระ : แล้วที่บอกว่าเป็นเราไม่คิดอะไรแล้ว ใช้ความคิดอบรมความคิดอะไรอย่างนี้ เราไม่ได้คิดอะไรแล้ว

หลวงพ่อ : คิดได้อย่างไรใช่ไหม?

พระ : มันจะเหนี่ยวนำขึ้นมาอย่างไร?

พระ : แบบว่ามันว่างใช่ไหม ใช้ความคิด ถ้าเป็นความคิดมันก็ไม่ว่างอย่างนี้

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : เราพยายามนึกแล้ว มันนึกไม่ออกครับ

หลวงพ่อ : ไม่ออก

พระ : ก็ไม่รู้ว่ามันขาดอะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอกลับมาแล้วมันนึกออกครับ

หลวงพ่อ : การนึกออกคือมันเป็นปัญญาของเรา เราถึงได้พูดไง เวลาเราพูด เราพูดกับคนละคน คนละขั้นตอน พวกเราฟังมันก็เลยกระโดดไง เวลาเราเทศน์ เราเทศน์ เห็นไหม ที่เอาไปนี่ เราเวลาเทศน์นะ เราจะเทศน์เป็นเสต็ปขึ้นมาเลย เริ่มต้นจะเทศน์ก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เราถึงพูดอย่างนี้ไง

พูดถึงว่าปุถุชน กัลยาณปุถุชน ฟังตรงนี้นะ ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส กัลยาณปุถุชน มันควบคุมใจได้ ทำสมาธิได้ง่าย ปุถุชน ปุถุชนนี่คิดขนาดไหนนะ ปุถุชนคนหนา พอปุถุชนคนหนา คิดอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แต่กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนมันเห็น รูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นของที่สะเทือนใจ มันควบคุมใจได้ง่ายขึ้น พอควบคุมใจได้ง่ายขึ้น เหมือนพื้นฐาน ทุน ถ้าเรามีทุนสายป่านเรายาว เราทำสิ่งใดมันก็สะดวก สายป่านเราสั้น ทุนเราไม่มี คือสมาธิเป็นขณิกะ คือ แว๊บๆๆๆ สายป่านเราสั้น ทำอะไรเจ๊งหมดน่ะ

ทีนี้พอถ้าเราเป็นกัลยาณปุถุชน เราจะต้องมีกองทุนของเรา เราจะมีสายป่าน คือใจ ที่ว่าตัวตนอยู่ไหน? ตัวตนอยู่ไหน? เพราะนี่ที่ว่าเป็นสมาธิแล้วคิดไม่ได้ จริงๆ น่ะสมาธิคิดได้ แต่ความคิดกับสมาธิเรามันคนละมิติไง คนละมิตินะ ปัญญานี่เราพูดบ่อย แล้วยืนยันด้วย เราต้องการให้คนมาโต้เถียงเราเลย แจกซีดีไปเยอะแยะเลยนะ

แล้วในวงการแพทย์ เอาไปฟังเยอะแยะเลย กูยังไม่เห็นใครมาเถียงกูสักคน ต้องการให้กลับมาเลย จะยันให้หน้าหงายเลย เพราะเรายันคำว่า “ปัญญาจากสมอง ปัญญาจากจิต”ไง ปัญญาจากสมอง ปุถุชน ความคิดเราเกิดจากสมองทั้งหมด สมองนี่คิดเองไม่ได้ สมองนี่ต้องมีจิตนะ ปัญญาสมองคือปัญญาจำ ปัญญาจากจิต ปัญญาจากพลังงาน

ทีนี้ พลังงานต้องว่าง พอพลังงานว่าง ถ้าพลังงานที่ว่างแล้ว แล้วจะคิดอย่างไร? เพราะมันว่างแล้วใช่ไหม? ถ้ามันไม่ว่าง มันปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสถิติ อย่างพวกเราให้ค่ากันด้วยสถิติเห็นไหม อย่างเงินทองเราเห็นตัวเลขเห็นไหม แค่แบงก์ แบงก์ ๒๐ แบงก์ ๑๐๐ นี่ต่างกันแล้ว เพราะเราจำตรงนั้นได้ แต่พอมาเป็นปัญญาของจิต มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว มันเกิดในปัจจุบัน

ทีนี้ตรงนี้ อันนี้มันก็จะย้อนกลับไปที่หลวงปู่ดูลย์ ดูจิต แต่ไม่ใช่ดูเพ่งนะ ดูแบบบริหารจัดการ “ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต แล้วพิจารณามัน” จิตสงบขึ้นมานี่ ตอนนี้เรานอน เราห่มผ้าอยู่ ถ้าเราเปลือยกายเราจะรู้ว่าเราเปลือยกายไหม? แล้วเราห่มผ้าเราจะรู้ว่าห่มผ้าไหม? จิต ตัวพลังงานตัวจิต ความคิดคือผ้า ความคิดคือผ้า ตัวจิตคือตัวพลังงาน เราเปลือยเรารู้ว่าเปลือย เราห่มผ้าเรารู้ว่าห่มผ้า

จิตโดยนี่ มันเป็นข้อเท็จจริงเลยนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ ใช่ไหม? พอเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ คือความคิดใช่ไหม? ทีนี้ของที่มีอยู่ เอ็งว่ามันจะกระทบกันไหม? ตอนนี้เราห่มผ้าอยู่ เรารู้ไหมว่าเนื้อของเรากับผ้านี่สัมผัสกัน เรารู้สึกตัวไหม? จิตถ้ามันว่างแล้ว พอจิตมันว่างเห็นไหม จิตมันว่างเพราะว่าอะไร? เพราะมันปล่อย มันปล่อยมา คือเราเปลือยกาย เราถอดเสื้อผ้าออก

แต่เราจะอยู่โดยที่ไม่มีเสื้อผ้าได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ โดยสถานะของมนุษย์ก็เหมือนกัน เอ็งไม่มีความคิดได้ไหม? เอ็งไม่มีความคิด เอ็งก็อัลไซเมอร์ไง เอ็งต้องมีความคิดเป็นธรรมชาติ แต่เพราะจิตเอ็งไม่สงบ เอ็งถึงไม่เห็นไง แต่ถ้าพอจิตสงบปั๊บนะ “จิตเห็นอาการของจิต คือจิตเห็นความคิด” ยิ่งงงเข้าไปใหญ่เลยใช่ไหม?

พระ : คือความคิดที่เกิดขึ้นจากจิตใช่ไหมครับ ...(เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ต้องให้ไปเห็นตามข้อเท็จจริง ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บนะ เราก็จะจินตนาการ เซนน่ะเขาสอนลูกศิษย์นะ เขาบอกว่า ตบมือข้างเดียวนี่เสียงอะไร? สโลแกน เขาจะให้ลูกศิษย์เขาตรึกในสมาธิไง ตบมือข้างเดียวนี่เสียงอะไร? มันก็คิดอยู่นะ ตบมือข้างเดียวนี่เสียงอะไร? เห็นเสียงลมมา ฟู้ว.. “เสียงเหมือนลมครับ” “ไม่ใช่” มันจะใช้จินตนาการของมันไปเรื่อย

การจินตนาการนี่เขาต้องการให้จิตมันสงบ คืออาจารย์เขา ไอ้ตบมือข้างเดียวนี่เหมือนกับพุทโธไง มันคิดอยู่ ๑๖ ปี พอไปถามอาจารย์ พอจิตมันสงบแล้ว ถามไปตอบปัญหาทุกวัน อาจารย์เขาเฉลยว่าอะไรรู้ไหม? อาจารย์เขาเฉลยว่ามันไม่มีหรอก กูหลอกมึง กูหลอกให้มึงหาไง แต่มันก็เข้าใจแล้ว เห็นไหม นี่อาจารย์เขามีหลัก เขาจะสอนลูกศิษย์เขาให้จิตมันสงบ

ถ้าบอกอะไรปั๊บ เอ็งก็คิดต่อไปเรื่อย นี่ก็เหมือนกันเราจะบอกไป มันก็ไปเรื่อย แต่จิตเห็นอาการของจิตนี่แน่นอน ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปคิดว่ามันจะเห็นอย่างไร? ทำให้จิตสงบเข้าไป ไม่ต้องไปคิดว่าเราจะได้ผลหรือจะทำอย่างไร? แต่เวลาเราทำไปเป็นข้อเท็จจริงแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม? เราไม่ต้องไปคิดเลยว่าในบัญชีเราจะมีเงินเท่าไร?

เปิดบัญชีออกมาเท่าไรมันก็เท่านั้นน่ะ ตัวเลขในบัญชีมันตายตัวอยู่แล้วนะ แต่กูจินตนาการไปนะ มีห้าล้าน มี ๒ ร้อย โอ๊ย มันก็คิดของมันไปเรื่อย อะไรมันจริงยังไม่รู้เลย แต่ถ้าเปิดบัญชีมามันจริงๆ เลยล่ะ ในบัญชีมีอยู่เท่านั้น จริงไหม?

ถ้าจิตมันสงบเข้ามา โดยที่ใช้ความคิดเข้าไปนี่ พอจิตสงบเข้ามา แล้วดูสังเกตตัวจิตที่มันออกรู้ โดยธรรมชาตินี่ความคิดมันเกิดจากใคร? นี่โลกไง เดี๋ยวเอ็งจะเห็นเอง ถ้าจิตสงบ

พระ : คือเหมือนมันจะรู้สึกเองโดยที่เราไม่ต้องคิด ไม่ได้คิด

หลวงพ่อ : อันนี้เราเรียกว่าสัญชาตญาณ เวลาเขาพูดถึงธรรมะกัน เราบอกนี่สัญชาตญาณ ไม่ใช่อริยสัจ ทุกคนบอกว่ามันจะรู้แล้วๆ เวลาจิตมันเป็นเวลาปฏิบัตินี่ ตรงนี้มันไม่เข้าใจ ถ้าตรงนี้คนไม่เคยปฏิบัติมันจะไม่เข้าใจตรงนี้ พอไม่เข้าใจตรงนี้ปั๊บ พอลูกศิษย์มาถามปัญหาแล้วตอบไม่ถูกหรอก เหมือนจะรู้ โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นหมด โดยสัญชาตญาณนะ ดูสิ เขาเขวี้ยงไม้เข้ามา (หัวเราะ)

พระ : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เออ มันไปเอง เจองูแม่งโดดหนีแล้ว ใครสั่งๆ สัญชาตญาณ การหลบภัย แล้วพอเวลามันทุกข์มานี่โดยสัญชาตญาณ แล้วทุกข์ก็หาย เป็นพระอรหันต์หรือยังๆ นี่เรามันทุกข์กัน แล้วมัน บางทีเราใช้คำว่าส้มหล่นนะ เวลาปฏิบัติไปๆ ข้างในมันจะปล่อยวางกันเองได้ ไอ้ข้างใน อย่างเครื่องจักรนี่ เห็นไหมเครื่องจักร เครื่องยนต์ รถยนต์ เวลาเฟืองมันหมุนไป

แล้วถ้าเกิดเฟืองมันรูด เห็นไหม เฟืองมันรูดหมดเลย มันก็หมุนฟรี เห็นไหม เราจะบอกว่าความคิดกับจิต ระบบการทำงาน เหมือนเครื่องยนต์ หมายถึงว่าทดเฟืองกันไปโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเวลามันฟลุ๊กขึ้นมา มันวื๊ด! คือเฟืองมันรูดหมด โอ๊ย ว่าง.. ส้มหล่น เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันว่างโดยธรรมชาติของมัน แต่เราไม่สามารถซ่อมแซมหรือแก้ไขอะไรได้

ปฏิบัติไป การปฏิบัตินี่มัน นี่ไงมันอยู่ที่นี่ มันอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ มันอยู่ที่จริต อยู่ที่วาสนา โอ๊ย เยอะแยะไปหมดเลย ทีนี้อาจารย์ถ้าเป็นนะ มันแก้ไขให้ได้หมดไง ถ้าอาจารย์ไม่เป็นนะ กูก๊อบปี้พระพุทธเจ้ามาเลย มึงถามอะไรมากูก็ตอบตามหนังสือ แล้วเราเศร้าใจ เราแจกไอ้วงกรรมฐานไปเห็นไหม มันมีโยมมาที่นี่ แล้วเขาฟังเทศน์เรา กลางคืนเราเทศน์ ฟังไป

เขานั่งฟังเทศน์ไป เขาฟังไปๆ จิตมันลงอย่างไรไม่รู้? เขามองเห็นเราเป็นซากศพหมดเลย เขาก็ไม่เชื่อตาเขานะ เขาขยี้ตาเขาใหญ่เลยนะ แล้วเขาดูอีก ก็ยังเป็นศพอยู่ เห็นเราเป็นซากศพ แล้วเขาก็ไม่กล้าพูด พอเช้าขึ้นมาเขามาถาม บอกเมื่อคืนเห็นเป็นซากศพหมดเลย ถ้าเราบอก เราจะบอกว่า ถ้าอาจารย์ไม่มีหลักนะ จะบอกว่าคนที่เห็นน่ะเป็นพระโสดาบัน

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเราเห็นกายไง เห็นกายๆ มันเป็นไตรลักษณ์ไง เห็นกายมันแปรสภาพ เห็นไหม อ้าว เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม? เราเป็นคนมีชีวิต มันจะเป็นซากศพได้อย่างไร? ก็ผิวหนังกูยังดีอยู่ ก็กูยังมีความรู้สึกอยู่ ทำไมกูเป็นซากศพล่ะ แต่เขาเห็นเป็นซากศพจริงๆ เราเข้าใจ เราเข้าใจว่าจิตมันลงนะ แล้วจิตมันลงมันเป็นอย่างนั้นได้

แล้วตอนบ่ายเขามาถามปัญหาอีก เราก็อธิบาย ในวงกรรมฐานเรานี่ ในวงกรรมฐานผู้ที่ปฏิบัติ ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ พอไปเห็นจิตเห็นร่างกาย แล้วมันปล่อยสภาพ เขาก็บอกผ่านกายไง ผ่านกายก็เป็นพระโสดาบันไง กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ เพราะเขาเห็นโดยส้มหล่น โดยฟลุ๊กน่ะ จิตมันเป็นไปเอง

พอจิตเป็นไปเองก็มีนะ เขาเรียก “ธรรมเกิด” เวลาธรรมเกิด เรานั่งสมาธิอยู่นี่ สมมุติเรามีความข้องใจในสัจจะในธรรมะมหาศาลเลย แล้วเรานั่งพุทโธๆ ของเราไป พอจิตมันสงบนะ มันตอบเป็นคำๆ เลย อริยสัจมี ๔ สัมโพชฌงค์ ๗ มันตอบเป็นชั้นๆ เป็นข้อๆ เลย ไอ้เราก็ โอ้โฮ กูบรรลุธรรมแล้วเว้ย โอ้โฮ กูเก่ง ไม่ใช่ “ธรรมเกิด”

ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจนะ ธรรมเกิดเหมือนกับถามตอบ มันเกิดในหัวใจ มีเยอะ ปฏิบัติไปนี่ โอ้โฮ หลากหลายมากๆ จะให้พูด ไม่จบน่ะ ไม่จบ แล้วเราก็จะรู้ให้จบ กลัวผิดไง กางแผนที่แล้วก็เดินบนแผนที่ กูไม่ผิด กูกางแผนที่แล้วกูก็เหยียบบนแผนที่ เฮ้ย แผนที่มันกระดาษนะไอ้ห่า ลงไปแล้วอีกตั้งไกลนะ อย่าไปวิตกกังวล นี่ไง เราสะเทือนใจมากนะถ้าพูดอย่างนี้ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะหลวงตา เรายกเป็นบุคลาธิษฐาน เพราะมันชัดเจนมาก

หลวงตาเป็นมหา แล้วเรียนจบถึงมหานะ แล้วอยากปฏิบัติ ไปหาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นบอกว่า “มหา ธรรมของพระพุทธเจ้าเทิดไว้บนหัวนะ เชิดชูมาก แต่ถ้าปฏิบัติ แล้วเอาความคิดในการศึกษามานี่ มาเป็นแนวทาง เห็นไหม มันก็จะวนอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะเปรียบเทียบ มันจะปฏิบัติยาก ให้เอาการศึกษานี่ใส่ไว้ในลิ้นชัก แล้วลั่นกุญแจมันไว้”

คือพยายามตัดความคิดที่เราศึกษามาออก แล้วเราปฏิบัติด้วยพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิให้มันตามข้อเท็จจริง จิตสงบก็รู้จิตสงบ จิตไม่สงบก็รู้ว่าไม่สงบ แค่นี้พอ แล้วพอมันสงบแล้ว เราเริ่มทำงานต่อไป มันจะเห็นพัฒนาการของมัน เราจะรู้เอง แต่นี่เราอยากได้ไง เราอยากได้ เราอยากให้มันเป็นไป เพราะเรามีทางวิชาการมาแล้ว เราก็ต้องทำตามทางวิชาการนั้น เราก็เกาะวิชาการนั้นไว้ เราทิ้งมันมาไม่ได้ มันก็เลยเป็นปริยัติในปฏิบัติ เป็นปริยัติ

ปริยัติคือการศึกษา ศึกษามาแล้วนะก็มาสร้างให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จิตนี่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ แต่ไปหาครูบาอาจารย์ที่รู้จริงนะ ท่านจะชี้ให้เห็นเลยว่า ไม่จริงอย่างไรๆๆๆ แต่เราก็เถียง เถียงเลย เพราะอะไร? เพราะเราเห็นจริง ของจับอยู่นี่ เถียงเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านถึงพูดถูกไง เห็นจริงไหม? จริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง เพราะเรายังมีกิเลสอยู่

เห็นจริงๆ นะ จิตมันสร้างได้ สร้างภาพได้หมดเลย แต่ถ้าเป็นความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย อีกเรื่องหนึ่งเลยนะ เห็นเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน นี่ไงมันถึงโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา เราจะเน้นตรงนี้บ่อยมาก เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะโลกตอนนี้เขาบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แล้วเขาใช้ความคิดกัน เขาว่านั่นเป็นปัญญาไง แต่เราบอกไม่ใช่ มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

กระบวนการของการประพฤติปฏิบัติทุกลัทธิ ทุกวิธีการ ผลของมันคือสมถะทั้งหมด ผลของมันถือสมถะทั้งหมด ไม่ใช่วิปัสสนา เพราะสิ่งต่างๆ ที่มันกระบวนการปฏิบัติ ทุกๆ กระบวนการ ผลของมันคือปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วเป็นสมาธิ แล้วก็แยกออกมาอีก เป็นมิจฉาสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิอย่างที่ว่าน่ะ ตัวกูว่าง ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ ว่างๆ มันอธิบายได้ชัดเจนนะ ว่างๆ เพราะเราไปหาข้อมูล แล้วเราอธิบายข้อมูล

โอ้โฮ มันพูดได้ ๕ วันไม่จบน่ะ แต่ถ้าเป็นตัวมันว่างนะ ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ถ้ามันบอกว่าว่างๆ มันอธิบายความว่างให้มึงได้ ๕ ปีเลย กูอธิบายได้หมดเลย เราถึงประชดเลย เห็นไหม โอ่งไหกูก็ว่าง โอ่งหรือน้ำกูนี่ เทออกในนั้นก็ว่าง มันก็ว่างของมัน มันว่างโดยที่ไม่มีชีวิตไง มันน่าสลดใจ ว่างแบบวัตถุไง มันไม่มีความรู้สึก

ถ้าเป็นสมาธินะ เราเป็นเจ้าของของความรู้สึก เป็นสัมมาสมาธิ คือตัวมันว่าง พอตัวมันว่างปั๊บ มันมีกำลัง พอมีกำลังมันก็รักษาตัวมัน ดูมีกำลัง เหมือนกับเรานี่มีจุดยืน เราจะทำอะไรก็ได้แล้ว เพราะเรามีความชำนาญ พอจิตมันมีความว่าง มันมีความว่าง อย่างที่ว่า พอเป็นความว่างมันปล่อย ปล่อยจากความคิดมา เดี๋ยวมันต้องกระทบกันโดยธรรมชาติ ถ้าคนมีวาสนานะมันจะจับได้เลย

มันจะเห็นเลยว่า จิต อาการของจิตมันกระทบกัน ความคิดกับจิตมัน เขาเรียกเสวยอารมณ์นะ เสวยอารมณ์ จิตนี่ พอเป็นความคิดนี่ จิตมันต้องเสวย ถ้าจิตไม่เสวย อย่างเช่นเราเข้าว่างๆ มันไม่มีความคิด เสวยอารมณ์ เสวยมันก็กิน พลังงานกับความคิด มันต้องประสานงานกัน มันถึงออกมาเป็นความคิดได้

ทีนี้ถ้าจิตมันว่างขึ้นมานี่ มันต้องประสานกันนี่เห็นไหม นี่ไง โลกุตตรปัญญา ปัญญามันเกิดจากจิต คือ จิตมันรู้ จิตมันเห็น จิตมันสัมผัส เราถึงพูดบ่อยว่า สิ่งที่เป็นอุปาทานอยู่ที่ใจ แล้วมันถอนออกที่ใจ มันไม่ได้ถอนที่ความคิด อย่างที่เขาพูดกันหรอก ไอ้ที่เขาพูด วิปัสสนาต้องเป็นอย่างนั้น ต้องสร้าง ความคิดหมดเลย มันส่งออก มันส่งออกไป แต่ถ้าเป็นความจริง ตัวมันเองทำของมันตลอด ตัวของมันเองจะกระทบกระเทือนในตัวของมันเอง มันจะเป็นการกระทำของตัวมันเอง จะพูดว่าจะคุยอีก ๕ ชั่วโมงนะ ตรงนี้เอ็งก็ไม่เคลียร์เด็ดขาดก็แล้วกันล่ะ เพราะเอ็งไม่เห็น(หัวเราะ)

พระ : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ใช่ ของมันต้องรู้ต้องเห็นมันถึงจะเคลียร์ ถ้าจะมาพูดให้เคลียร์นะ กูจะพูดถึงพรุ่งนี้เช้าเลย แล้วเอ็งถามกูมา กูจะอธิบายได้จนพรุ่งนี้เช้าเลย ไม่มีทาง เดี๋ยวนะอีกนิดเดียว มันมีมาจากมหาจุฬาฯ เขาทำวิทยานิพนธ์ ด็อกเตอร์ แล้วเขาทีนี้ เขาบอก เขาขอร้องเราเลย เขาบอกเขาจะทำตรงนี้ด้วย แล้วเพื่อจะให้เขาศรัทธา แล้วเขาจะปฏิบัติด้วย เขาเอาเทปมาอัดเต็มไปหมดเลย อัดแล้วมันก็จบแล้ว คือว่าเราให้ข้อมูลเขาไปแล้ว เขาปรึกษาไง อ้าว ให้เราเป็นที่ปรึกษา

เราก็พูดแล้ว แต่เขาบอกว่าเขาอยากให้เราพูดด้วย เพื่อที่ว่าจะให้เขามีความเข้าใจด้วย เขาจะได้ปฏิบัติ เราพูดไปหลาย เขามาหาตั้ง ๓-๔ รอบหลายวัน เราบอกว่านกกับปลามันคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก นกกับปลาคุยกันไม่รู้เรื่อง นกมันอยู่บนอากาศใช่ไหม? ปลามันก็อยู่ในน้ำ ผู้ที่มีคุณธรรมใจเขาเป็นธรรม เราเป็นปุถุชน ใจของเรามันมืดบอด มึงพูดไปเถอะ นกกับปลา ไอ้คนหนึ่งก็พูดถึงเรื่องอากาศ ไอ้ปลาก็มุดอยู่ในน้ำ แล้วมันจะรู้กันเมื่อไร? มันต้องปฏิบัติมันถึงจะรู้จริง อ้าว อันนั้นขึ้น

พระ : มันหลุดเร็วอย่างนี้ครับ เวลาพุทโธนี่คือกำหนดที่ลมหายใจ หรือว่าควรกำหนดที่แบบว่า ปลายจมูก หรือว่าตรงปลายนิ้ว หรือว่าอย่างไรดีฮะ กราบเรียนถามพระอาจารย์

หลวงพ่อ : ปลายจมูก พุทโธนี่ปลายจมูกเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะขณะที่ลม เราอยู่เฉยๆ เราปกติใช่ไหม? แต่เวลาลมนี่ความอบอุ่นไง มันชัด เพราะเวลาหลับตาแล้วมันชัดเจนกว่า แต่พูดถึงอยู่ที่ความถนัด บางคนจะเอาไว้ที่กลางอก จุดใดจุดหนึ่ง แล้วไม่ต้องตาม โดยอานาปานสติเขาจะตามเข้าตามออกใช่ไหม? หลวงตาบอกว่า “ไม่ใช่”

บ้านของเรานี่ เรายืนเฝ้าประตูบ้าน คนเข้าคนออกจะเห็นหมด เวลาคนเข้าบ้านเรา เราเดินตามเขาไปนี่ ปากประตูเราปล่อยทิ้งไว้แล้ว ลมมันเข้านี่เห็นไหม มันเคลื่อน มันเข้าไปถึงตรงนั้นแล้วมันก็ออก ใช่ไหม ไม่ต้องตาม อยู่ที่ปลายจมูก แล้วในการปฏิบัติใหม่นี่นะ พุทธานุสติคือกำหนดพุทโธ อานาปานสติคือกำหนดลมหายใจ

ฉะนั้นถ้าเราใหม่ๆ นี่เราแบบว่า ให้มันเป็นรูปธรรมที่จับต้องให้ได้มากที่สุด เรากำหนดลม พุทโธกับอานาปานสติ มันคนละเรื่องกันนะ แต่เรามาบวกรวมเป็นอันเดียวกัน ลมหายใจเข้านึก พุท ลมหายใจออกนึก โธ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันชัดเจน มันจะได้ไม่คลาดเคลื่อนไง สิ่งใดที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากนี่ แล้วทำให้การปฏิบัติเรา มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้เต็มไม้เต็มมือ แต่ทีนี้มันจะมีผลเสียอยู่อันหนึ่ง มีผลเสียถ้าจิตเราสงบบ้าง หรือว่าเราจะดีขึ้น เราจะพุทโธ มันอย่างที่ว่า พอนึก พุท มันจะลมเข้า มันก็คิดไปก่อน พอจะ โธ นี่

พอถึงตรงนั้นปั๊บ เราปล่อยวางได้ คือเราปล่อยวางอันใดอันหนึ่ง เราปล่อยวางลมไปเลย แล้วพุทโธนี่เราจะเร่งได้ อย่างที่ว่าเรามีเกียร์ ๕ แล้ว เกียร์ ๑ นี่มันก็ต้องใส่ บวกกับลมไปก่อน เพื่อให้รถมันออกตัวให้ได้ คำว่าออกตัวนะ จิตปกติเรานี่มันเป็นสามัญสำนึก พอจิตมันเป็นสมาธินะ มันจะปล่อย เป็นสมาธินี่มันสามารถปล่อยกายได้เลย ทางมหายานเขาบอก เวลาทำความสงบไป จิตเรานี่เหมือนกล้วยๆ ปอกเปลือกกล้วยกับกล้วย

ถ้าจิตสงบแล้วนะเป็นอัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิสงบชั่วคราว อุปจารสมาธินี่มันสงบปั๊บมันยังรับรู้เสียงอยู่ คำว่ารับรู้เสียงนี่อุปจาระ คือมันออกรับรู้วิปัสสนาได้ เสียง สิ่งที่รับรู้นั้นคือเสียงกระทบ แล้วพุทโธเข้าไปเรื่อยๆ จนอัปปนาสมาธินะ สักแต่ว่ารู้ ดับหมด ไม่มีความรู้สึกเรื่องกายเลย แต่มีสติพร้อมนะ เรื่องสมาธินี่ มันทิ้งกายได้เลย ถ้าเป็นสมาธิ เหมือนกับปอกกล้วย เปลือกกล้วยกับกล้วยนี่มันแยกกันเลย โดยสมาธิ

โดยสมาธิ ไม่ใช่โดยปัญญา ไม่ใช่แก้กิเลสนะ มันจะมีการพิสูจน์กันว่ากายกับใจมันคนละอันกันน่ะ ถ้ายังทำไม่ถึง ยังงงอยู่ ถ้าทำถึงแล้วไม่งง ทีนี้อย่างที่บอกว่า พุทโธน่ะ ที่ไหนดี ปลายจมูก จะว่าปลายนิ้วปลายอะไรนี่ มัน ประสาเรา ความรู้สึกมันน้อยไง พอความรู้สึกมันน้อยจะทำให้เรา จุดยืนเราไม่มั่นคง แล้วนี่ กำหนดลมหายใจกับพุทโธ ใหม่ๆ นะ

แล้วทำอย่างไรรู้ไหม ถ้าพอมันถนัดแล้วทิ้งลมไป ทิ้งลมไปเอาพุทโธอย่างเดียว หรือทิ้งพุทโธไป เอาลมอย่างเดียว ให้ชัดเจนเลย ให้อยู่กับลมชัดเจน พอชัดเจน ความคิดมันไม่แลบ พอเราไม่ชัดเจนนะ พอธรรมดาจิตหนึ่งนะคิดเป็น ๒ ไม่ได้ เรากำของนี่เรากำได้ชิ้นเดียว แต่ทีนี้มันเป็น ๒ เพราะอะไร เพราะจิตมันเร็ว

สิ่งที่เร็วที่สุด เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด เร็วกว่าแสง ตอนนี้เราคิดถึงอเมริกา ถึงแล้ว คิดถึงอเมริกา ถึงแล้ว สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด แล้วเอาให้มันนิ่งที่สุด มันจะมีพลังงานมากที่สุด ทีนี้พอพุทโธๆ นี่มันจะเร็ว เร็วมาก บางคนเขาสอน พระบางองค์สอน เขาบอกว่าจิตนี้เร็วมาก เอาให้นิ่งไม่ได้ เรานี่ อื้มหืม พระองค์นี้มันไม่รู้จักสมาธิเลยเหรอวะ? ทำไมจะเอานิ่งไม่ได้วะ? เอานิ่งไม่ได้มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร?

เอาให้นิ่งได้ สิ่งที่เร็วที่สุด โอ้โฮ จิตนี้เร็วมาก เอาให้นิ่งได้ สติรั้งได้หมดเลย สติคุม สติมหาสติ สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ด้วยสติ กั้นได้หมดเลย ขยับไม่ได้เลย ทำได้ พุทโธแล้วทำไปก่อน พูดไปก่อนเดี๋ยวจะถอดใจ ถ้าพุทโธกับลมหายใจ พุทโธกับลมหายใจ ที่เริ่มต้นมันดีนะ เหมือนกับเราฝึกหัด เริ่มต้นเราต้องให้ชัดเจนก่อน ทีนี้พอไปๆ มันจะรับรู้ทั้งลม กับรับรู้ทั้งพุทโธ แล้วมันจะหลับ มันจะแวบหายเลย มันจะลงตกภวังค์ไง พอตกภวังค์ต้องแก้อีก ครูมวย

พระ : ถ้าสติอยู่มันจะตกภวังค์ได้ไง

หลวงพ่อ : มีไหม

พระ : ก็คือตอนที่เริ่มจะสงบ แต่ก็ยังรู้สึกมีสติอยู่

หลวงพ่อ : ถ้ามีสติอยู่

พระ : ยังไม่ถึงขนาดแบบว่าหูไม่ได้ยินอะไร คือหูก็ได้ยิน

หลวงพ่อ : ใช่ กำหนดไปอีก พุทโธเข้าไปอีก แล้วพอถ้ามันสงบแล้วนะ เวลาเราคลายออกมานี่ เราใช้ปัญญาได้แล้ว ใช้ปัญญาคือฝึกบ้างไง ถ้าเราจะเอาแต่ความสงบ ความสงบนี่ต้องมีปัญญา ปัญญาคือว่าให้มันสงบมากขึ้น พอสงบแล้วเราจะเห็นไง สงบกับฟุ้งซ่าน พอเราเห็นคุณค่าปั๊บ เราจะรักษาเอง ดู สังเกตพระปฏิบัติไหม? จะทำจะคอยระวังตัวเวลาจะไปไหน แบบว่า เมื่อก่อน ประสาเรานะ ไม่อยากคุย ไม่อยากอะไร เพราะเวลาคุยแล้วมันฟุ้ง

ถ้านักปฏิบัติด้วยกัน บางทีเขาจะรู้กัน คือว่าถ้าเขาทำอย่างนี้ เขาพูดกันอย่างนี้ คือเขาไม่ได้หยิ่ง เขาไม่ได้จองหอง เขาไม่ใช่รังเกียจใคร คือเขาอยากรักษาใจเขา ถ้าเรารู้กัน เราก็ บางทีมันเห็นเพื่อนสนิทไงก็แหย่เล่น ไอ้แหย่เล่นนี่มันมี แต่ไอ้แหย่เล่นนี่มันไม่ทำให้สะเทือนกันไง

พระ : ขอโอกาสครับ เพราะคนใหม่เขาชอบถาม คือเวลานั่งสมาธินี่ครับคือเปิดธรรมะไปด้วย และตรงนี้หลวงปู่บอกว่า คนมาบวชให้ฟังท่าน ท่านบอกว่าเวลาปฏิบัติไปนี่ฟังไปด้วย นั่งไปด้วยนี่ คือไม่ต้องไปกำหนดที่เทศน์ คือมันจะเข้าหากันเอง

หลวงพ่อ : ใช่ ท่านพูดอย่างนี้ เวลาฟังเทศน์นะ ทุกคนจะคิดอย่างนั้น เวลาเราฟังเทศน์ ทุกคนอยากเก็บผลประโยชน์ให้มากที่สุด เวลาฟังเทศน์ก็ต้องฟังทุกคำเลยนะ ท่านพูดอะไรวะ กลัวจะไม่รู้ๆ นั่นล่ะไม่รู้อะไรเลย เพราะมันไปเอาข้างนอกไง การฟังเทศน์ สังเกตได้ไหม เวลาเทปเอาไป ใครเอาไป เปิดรอบแรก บางทีคำไหนมันสะเทือนใจ โอ้โฮ แล้วพอไปฟังรอบ ๒ ไปได้อีกคำใหม่ เฮ้ย ทำไมครั้งที่แล้วไม่ได้ยิน เห็นไหม คือจิตมันจะลงกับตรงไหนไง

ทีนี้พอถ้าอย่างนั้นปั๊บ เราก็พยายามจะให้รู้ให้มากที่สุด เพื่อจะให้จิตมันดี ผิดหมดเลย ผิดเหมือนอย่างที่พูดเมื่อกี้ว่า คนเรานี่ บ้านร้าง เพราะเราอยากรับรู้เสียงที่ออกมาจากจิต อ้าวนี่ ที่ทำมาแล้วทำมานะ แล้วเดี๋ยวฟังเทศน์ใหม่ เวลาฟังเทศน์นะ ตั้งสติไว้ เอาคำเสียงที่ฟังเทศน์นั้นเป็นพุทโธแทนไง แล้วไม่ต้องอยากรู้ เพราะอะไร เอ็งรู้ไม่ได้หรอก มันอยู่ที่จิตของเรานี่

ถ้าจิตของเราดีนะมันมา เอาคำเดียวน่ะ ฟังเทศน์นี่เอาคำเดียว คือคำพูดที่มัน ปิ๊ง! คำนั้นล่ะมันสดชื่น มันสดชื่นไปหลายๆ วัน ไม่ใช่ไปฟังเทศน์ทั้งม้วน คำเทศน์นะเหมือนกับพุทโธๆ แต่พุทโธแล้วมันลงไง

พระ : คือตอนนี้เหมือนกับว่าไม่ต้องบริกรรม

หลวงพ่อ : ไม่ต้อง ตั้งสติไว้เฉยๆ ขณะที่ฟังเทศน์ เว้นไว้แต่ ไม่ได้เปิดฟังเทศน์ต้องอยู่ เพราะคนไม่มีจุดยืนไม่ได้ ขาดคำบริกรรมไม่ได้ ขาดคำบริกรรมหมายถึงว่าเราให้จิตเราเร่ร่อน คือเราปล่อยให้จิตเราไปตามธรรมชาติของมัน

ถ้ามีสติปั๊บ หรือมีคำกำหนดปั๊บ คำบริกรรมนั้นมันมีที่เกาะ เพราะจิตนี้เป็นนามธรรมมันต้องมีอะไรเกาะไว้ เกาะคำว่าพุทโธ เกาะอะไรไว้ คือไม่ให้มันไหลไปตามธรรมชาติของมัน แต่ขณะที่เราฟังเทศน์ เพราะอะไรรู้ไหม พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะ เทวดาสำเร็จเป็นแสนๆ เป็นหมื่นๆ พระเทศน์ทีหนึ่ง พระนี่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทีหนึ่ง ๕๐๐ องค์

เวลาฟังเทศน์น่ะ การปฏิบัติกรรมฐาน การฟังเทศน์นั้นคือหัวใจ คือหัวใจเลย เหมือนเรามีอะไรอยู่ในหัวใจ หัวใจเรามันมีข้อมูลอะไรอยู่ พอคำเทศน์นั้นมานี่มันปล่อยเลยนะ มันกระแทกเอาหลุดเลย ปล่อยเลย อย่างเช่นหลวงตาท่านพูดบ่อย ท่าน เวลาหลวงปู่มั่นจะเทศน์ ท่านเทศน์เหมือนกับเครื่องบินเริ่มแท็กซี่เลย

ถ้าพูดถึงความสงบ พอพูดถึงความสงบปั๊บ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล โสดาปัตติมรรคหมายถึงว่าคนที่ใช้ปัญญาแล้วเป็นโสดาปัตติมรรค แล้วถ้าคนที่ใช้ปัญญาแล้วได้ผลเป็นโสดาปัตติผล เขาเป็นแล้ว หลวงปู่มั่นเทศน์มานี่มันก็เท่ากับทบทวนของเรา ชัดเจนๆ เลย เพราะมันจะเหมือนกัน แล้วพอถ้าจิตคนที่ไม่เป็นอะไร มันก็จับตรงนี้ไว้

พอขึ้นถึงสกิทา ไอ้พวกปฏิบัติใหม่ไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ไอ้ผู้ที่จากโสดาบันจะขึ้นสกิทาคานะ โอ้โฮ มาถึงกูแล้วเว้ย มันจะรอเลยนะ รอแบบว่าเหมือนจูงมือเลย เหมือนเราตาบอด คนจูงมือเราเลย เพราะมันปฏิบัติไปมันจะรู้ เหมือนบันได ๔ ขั้น เราขึ้นขั้นที่หนึ่งแล้ว แล้วขั้น ๒ กูจะก้าวอย่างไร แล้วท่านจะเทศน์มาเลยนะ

พอเทศน์มาเราจะทำอยู่แล้วใช่ไหม? ท่านบอกวิธีการ เรา โอ้โฮๆ จิตมันก็หมุนตาม หมุนตาม พอขึ้นไปถึงอนาคานะ สกิทามันจะได้อนาคา อนาคาจะได้ขั้นอรหันต์ คือคนละชั้น เพราะพระปฏิบัติมันจะมีวุฒิภาวะของจิตมันจะมีหลากหลาย แต่เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์มันเป็นหลัก เป็นหลักมันขึ้นมาอย่างนั้นปั๊บ ไอ้คนที่จะโดดเกาะๆๆ ได้ประโยชน์หมดนะ หลวงตาพูดอย่างนั้นประจำ

พระ : สมาธิมันเริ่มเข้า บางทีมันจะฟังแล้วก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง

พระ : เพราะมันหายไปแต่ละอย่างๆ

หลวงพ่อ : นั่น (อันนั้นยิ่งยอดใหญ่เลย เขกหัวสักทีหนึ่งดีไหม) เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าจิตมันจะเริ่มเป็นสมาธินะ เพราะเราฟังเทศน์เพื่อความสงบใช่ไหม? ในเมื่อจิตมันจะเป็นสมาธิไม่ต้องไปห่วงเทศน์ ให้มันลงไปเลย ไม่ใช่ว่าฟังเทศน์แล้วติดสมาธิ กลัวจะไม่รู้ ไม่รู้เดี๋ยวเปิดรอบใหม่ก็ได้ ขอให้จิตมันลงก่อน เราทำ เพราะอะไรรู้ไหมหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ “คำเทศน์เหมือนกับพุทโธแทนเรา” แล้วมันกลมกล่อม

คือคำเทศน์เหมือนแม่กล่อมลูกนอน โอ้ละเห่ โอ้ละเห่ ลูกนอนนี่ไม่ได้ประโยชน์นะ แต่คำเทศน์ให้ลงสมาธิ แล้วถ้ามันจะลง ตั้งสติดีๆ เลย แล้วถ้ามันจะลง ถ้าลงสมาธิแล้วได้ยินเสียงไม่ได้ หลวงตาท่านเป็นนะ ท่านบอกท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ แล้วจิตมันลง เสียงเทศน์ของหลวงปู่มั่น เหมือนกับอยู่บนก้อนเมฆ แว้วๆ ได้ยินเสียงอยู่แต่ไม่รู้อะไรเลย จิต ได้ยินเสียง แต่จิตมันนิ่งอยู่ พอเป็นอย่างนี้ปั๊บ ท่านบอกว่าท่านฟังเทศน์แล้วนะ โอ้โฮ จิตมันเบาไป ๓ วัน ๔ วัน ท่านบอกโลกดับไปเลย ๓ วัน

พระ : แล้วอาการที่แบบว่า นั่งๆ อยู่นี่แล้วตัวมันว่าง เหมือนกับว่ามันแผ่ว แล้วก็เหมือนกับว่าตัวว่าง

หลวงพ่อ : ดี ปีติๆ

พระ : แต่มันเป็นแค่ช่วงแป๊บเดียว

หลวงพ่อ : ปีติ วิตกนึกพุทโธขึ้นมา วิจาร พุทกับโธ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ นี่คือองค์ของสมาธิ ทีนี้มันวิตกวิจารใช่ไหม ทำก่อนมันจะเกิดปีติ เกิดตัวพอง เกิดตัวโยกตัวคลอน เกิดตัวใหญ่ เกิดเห็นแสง เกิด.. ปีติทั้งนั้น รู้วาระจิตก็ปีติ ใหม่ๆ นี่อาหารไม่เคยกิน กินแล้วตื่นเต้นมากเลย แต่ก็กินๆ ไปเดี๋ยวก็เคยชินใช่ไหม?

ทุกคนบอก โอ้โฮ เมื่อก่อนปีติ มันมีความสุขมากเลย เดี๋ยวนี้หายไปไหน อ้าว ก็มึงเคยชินแล้วมันก็จางไปเป็นธรรมดาเว้ย แล้วจะเกิดความสุข แล้วเกิดปีติ ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ครบองค์ประกอบ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไปเรื่อย เห็นไหม ปฐมฌาน มันจะเริ่มสงบมา พอเกิด อยู่ที่ว่ามันจะดับตรงไหนไง พอจิต ถ้าจิตมันปีติ แล้วก็สุข เห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตถฌาน มันปล่อยหมด มันว่างหมดเลย มันตัวมันเอง

พระ : เหมือนกับแบบว่าตัวเบา แล้วก็ไอ้เหน็บ แล้วก็เจ็บ ไอ้เหน็บมันก็จะหาย

หลวงพ่อ : ขยันๆ หน่อย ขยันๆ หน่อยเนอะ ฟังแล้วมัน เออ ปฏิบัติแล้วมันมีผล อื้ม ค่อยชื่นใจเว้ย ขยันๆ หน่อย เอาเลย แล้วจะเห็นคุณค่า

พระ : ท่านอาจารย์ครับ อย่างเมื่อกี้ที่บอกว่าดูจิตเพื่อความสงบและเพื่อมรรคผลนิพพาน

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : อย่างนี้เพื่อมรรคผลนิพพาน พระอาจารย์บอกว่าต้องใช้ปัญญา

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : ต้องใช้ความคิด

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : ความคิด บางท่านบอกว่าความคิดก็ เมื่อกี้อาจารย์บอกว่าความคิดก็คิดจากสมอง

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : แท้จริงแล้วความคิดก็ไม่ใช่ของจริง ก็ไม่ได้เกิดปัญญา

หลวงพ่อ : ถ้ามันคิดที่ไม่ใช่เป็นของจริง เป็นปุถุชนคิด กัลยาณปุถุชนก็ลึกไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว โสดาปัตติมรรค ทำไมมันถึงเป็นโสดาปัตติมรรค? แล้วอะไรที่ไม่เป็นโสดาปัตติมรรค? นี่ไง ความคิดของใครล่ะ? ความคิดของพวกเรานะ ความคิดของพวกเรานี่ เราประชุมกันแล้วคิดกัน จะวางแผนอะไรก็อีกอย่างหนึ่งนะ

แต่ถ้าเป็นความคิดของเจ้าอาวาส เขาวางกฎมาก็ต้องทำตามหมดนะ ความคิดของใคร? ปัญญานี่ลึกซึ้งมาก หลวงตาบอกว่าขั้นของสมาธิ มันก็เป็นเท่านั้น ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต เวลา พูดอย่างนี้ถูก ท่านพูดน่ะถูก แต่ถ้าปฏิบัติไปแล้วนะจะรู้ มันถึงแยกได้ไง มันแยกได้ว่า คนที่พูดอย่างนี้เขาจะมีโลกทัศน์ ความเห็นของเขาเป็นโลกียปัญญา

ถ้าคนที่ผ่านนะ คนผ่านโสดาบันพูดได้แค่ขั้นของโสดาบัน คนผ่านขั้นสกิทาขั้นอนาคา มันคนละขั้น มันคนละมิติ มันเป็นคนละความคิด คนละชั้น ถ้าความคิดเป็นชั้นเดียวกัน มันคิดแล้วต้องฆ่ากิเลสหมดใช่ไหม? ถ้าเป็นพระโสดาบันต้องเป็นพระอรหันต์เลย เพราะมันมีมรรคญาณแล้ว มันเหมือนแผลที่ผิวหนัง แผลใต้ผิวหนัง แผลในโพรงกระดูก จะรักษาอย่างไร?

ความคิดคือการรักษา ถ้าความคิดเริ่มต้นก็ความคิดบนผิวหนัง บนผิวหนังนี่เราทายาเราก็หาย ใต้ผิวหนังเวลาบาดแผลลึก เราจะทำความสะอาดบาดแผลนี้อย่างไร? แล้วถ้าโพรงกระดูกนั้นมีเชื้อโรค เราจะทำอย่างไร? นี่พูดถึงความคิดไง มันคนละชั้น ความคิดยังอีกเยอะ นี่ครูบาอาจารย์ท่านถึงค่อยๆ สอนไปไง อ้า ทางนั้นต่อได้

พระ : พอเราเพ่งอสุภะกรรมฐานนี่ระดับขั้นไหนแล้วครับ

หลวงพ่อ : ก็ขั้นเพ่งไง เพ่งอสุภะก็ขั้นเพ่งอสุภะ ก็ขั้นเพ่งอสุภะแล้วเป็นขั้นอะไรล่ะ ก็ขั้นเพ่งอสุภะ การเพ่งอสุภะ การเพ่งเป็นซากศพนี่ ผลของมันสมถะไง ถ้าไปฟังในเทปเรานี่ เราจะต่อต้านตรงนี้นิดหนึ่ง เพราะคนไม่เข้าใจว่าการพิจารณาอสุภะๆ ไม่ได้พิจารณาหรอก เพราะอสุภะเอ็งพูด มันเป็นสัญญาทั้งหมด

อสุภะนี่นะ มัน การพิจารณากายนี่ ถ้าเห็นสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดนี่ เป็นพระโสดาบัน แล้วการพิจารณากาย กายคืนสู่สภาพเดิมนะ กายกับจิตแยกออกจากกันเป็นสกิทา ถ้าไปพิจารณากายตรงนี้มันถึงเป็นอสุภะไง อสุภะนี่มันแก้สุภะ เพราะในจิตใต้สำนึกของทุกคนรักสวยรักงาม ชอบเพศตรงข้ามที่สวยงาม ทีนี้มันจะเข้าไปแก้กันตรงนี้ อสุภะนะต้องเป็นอนาคามรรคนะ

ถ้าพูดถึงวิปัสสนานะ แต่พื้นฐานของเรานี่ วุฒิภาวะของจิตเรามันไม่ถึง คำว่าวุฒิภาวะของจิตเรามันไม่ถึง วุฒิภาวะของจิตเรา เป็นปุถุชน การเพ่งอสุภะเพ่งอย่างไรก็เพ่งเพื่อความสงบ เพราะมันเป็นปัญญาไปไม่ได้ เป็นปัญญาไปไม่ได้หรอก มันเพ่ง เพ่งอย่างไร? เพ่งให้สลดสังเวชไง เขาเรียกกายนอก

การไปดูซากศพนี่นะ อสุภะมันเกิดจากจิตสงบ แล้วเห็นภาพจากข้างในจิต แต่ถ้าเราไปดูซากศพนี่ เราคิดว่าซากศพนั้นเป็นอสุภะ กายนอก กายนอก เห็นไหม ดูสิ เราไปบนถนน ไปเจออุบัติเหตุ เห็นไหม ไปเห็นเครื่องใน เราไม่กล้ากินไปหลายวัน เห็นไหม มันขย้อน อันนั้นเป็นอสุภะหรือยัง ไม่ใช่ นั่นคือสามัญสำนึก

แต่ถ้าเราพิจารณากายนะ ในวิสุทธิมรรคให้ไปเที่ยวป่าช้า การไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปเหนือลม เพราะไปใต้ลมกลิ่นมันจะแรง ไปถึงนะ ถ้าจิตสงบนะ ให้เพ่งซากศพที่เห็น แล้วหลับตาเห็นภาพไหม? หลับตาเห็นภาพไหม? ถ้าหลับตาเห็นภาพ หลับตาเห็นภาพไหม? จิตมันเห็น นี่ถึงเป็นการเห็นกาย ที่ว่าเห็นกายๆ หมอผ่าตัดกายทุกวันเลย กูบอกมึงยังไม่เห็นกายเลย มึงเห็นแต่ก้อนเนื้อ การเห็นกายต้องจิตเห็น นี่ไง ที่ว่าปัญญาๆ

คนพูดนะ พอพูดถึงเรื่องนิมิตจะรู้เลยว่าปัญญาอยู่ตรงไหน เพราะถ้ามันเป็นโสดาบันนะมันจะเห็นกาย เพราะกายนี่ เห็นกายเป็นไตรลักษณ์ ถ้าเป็นสกิทานะ มันเห็นกายคืนสู่สภาพ ถ้าเป็นอนาคามรรคนะ มันจะเห็นเป็นอสุภะ แล้วถ้าเป็นอรหัตมรรคล่ะ ทิ้งกายหมดแล้วเหลืออะไร มันทิ้งกายหมดแล้วจิตมันมีอะไร นี่พูดถึงว่าถ้าพิจารณาอสุภะแล้วขั้นไหน

ทีนี้คำว่าพิจารณาอสุภะ คนพูดมันพูดด้วยสัญญา มันพูดด้วยข้อมูลของพระพุทธเจ้า มันไม่เป็นจริงในตัวมันหรอก ถ้ามันเป็นจริงในตัวมัน มันพูดออกมา มันไม่พูดอย่างนั้น เหมือนเรานี่ เอ็งมีเงินเยอะๆ มึงจะมาเที่ยวให้โจร ให้คอยไปอวดโจรไหม? มันปล้นมึงเลย มันยิงมึงทิ้งเลย ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เขาไม่พูดอย่างนั้นหรอก คนมีคุณธรรมในหัวใจนะ มึงไปพูดให้ใครฟังนะเขาว่ามึงบ้า เหมือนโจรน่ะ เขาเห็นกันสวย มึงบอกไม่สวย มึงบ้า มึงบ้า แล้วมึงก็บ้า ไม่รู้ใครบ้า

พระ : อย่างนี้เท่ากับว่าปัญญากับสมาธินี่เป็นระดับสมาธิ

หลวงพ่อ : เราจะพูดอย่างนี้ก่อน อย่าวิตกกังวล อย่าเดือดร้อน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราพูดบ่อยเห็นไหม ใครปฏิบัติแล้วไม่ผิดไม่มี อย่าวิตกกังวล อย่าไปแบ่งแยกว่าความคิดอันไหนถูกอันไหนผิด ความคิดของเราคือความคิดของเรา จุดสตาร์ทคือความคิดของเรา เราแก้ไขจากความคิดของเรา จากผิดให้มันถูก ไม่ใช่ว่าจะลบความคิดของเรา ไม่มี แล้วไปเอาความคิดที่ถูกต้องเข้ามา ไม่ใช่

ถูกต้องเข้ามาเงินคนอื่น ไม่ใช่ของเรานะ ความคิดของเรา ทุกข์สุขนี่ของเรา ต้องแก้ที่สุขและทุกข์ของเรา แล้วแก้ที่ความคิดของเรา อย่าวิตกวิจาร ทำไปตรงข้อมูล มือเราสกปรกต้องล้างมือเรา ความคิดที่อยู่ในความคิดเราที่มันทุกข์ต้องล้างที่ความคิดเรา ไม่ใช่แบ่งว่าอันนี้คิดถูก อันนี้เป็นโลกียะ อันนี้โลกุตตระ มันเป็นจากเรานี่แหละ มันเป็นจากชีวิตเรา มันเป็นจากข้อมูลของเรา แล้วแก้ไขกันไปตามนั้น

ไม่ใช่ว่าพอเราพูดปั๊บ ก็จะปฏิเสธกันหมดเลยนะ แล้วก็จะไปเอาข้อมูลที่ถูกกันมานะ ข้อมูลที่ถูกเอาที่ไหนล่ะ? เราไม่ได้สร้างขึ้นมา อย่าวิตกวิจาร ตั้งใจทำ แล้วทำไปจะรู้

พระ : ท่านอาจารย์ครับ ขอโอกาสครับ ขอถามเกี่ยวกับนอกเรื่อง อย่างเคยไปบ้านโยม โยมเขาบอกว่า การพิสูจน์พระธาตุ ว่าจะเป็นของแท้ไม่แท้ต้องให้ลอยน้ำดู ถ้าเกิดสมมุติว่าเราได้พระธาตุมา แล้วเราไม่มั่นใจว่าของแท้ไม่แท้ เราไปลอยน้ำอย่างนี้ถือเป็นการลบหลู่ไหมครับ

หลวงพ่อ : ไม่หรอก ไม่ถึงกับลบหลู่ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจสิ่งใด เพราะเดี๋ยวนี้ในโลกเรานะ มันมีอะไรที่เยอะแยะไปหมดเลย ในโลกนะ ไอ้ลอยน้ำนี่เอ็งปล่อยก็จมน้ำหมดล่ะ การลอยน้ำนะ เราทดสอบ เราก็ลองมาแล้ว พระธาตุนะเอาไว้บนนี้ แล้วลอยน้ำ ในน้ำนี่ เราเอามือเราอย่างนี้ มันจะลอยขึ้นมา ถ้าวางปุ๊บจมเลย

ไว้ปลายนิ้วนะ ไว้ที่ปลายนิ้ว แล้วเอานิ้วเราลงน้ำไป เหมือนกับลอยลงน้ำไปมันปล่อยไป ลอย อันนี้การลอยน้ำไม่ลอยน้ำ อ้าว การลอยน้ำหรือไม่ลอยน้ำนี่ เราเคารพบูชาของเรา เพราะเดี๋ยวนี้นะ พระธาตุนี่เราจะบอกว่ามันเป็นสิ่งบอกเหตุใช่ไหม? แต่ความสิ่งที่มันจะเป็นพระธาตุจริงๆ แล้วมันเป็นที่ใจของพระอรหันต์ก่อนนะ สำคัญตรงหัวใจอันนั้น พระธาตุเป็นการยืนยันทางวัตถุไง

ทีนี้พอการยืนยันทางวัตถุปั๊บนี่ พวกที่เขาหาผลประโยชน์ไง เขาก็จะหาว่า พระธาตุจริงๆ ก็ได้ อย่างเช่นเรา เราจะตายอยู่นี่ เราก็เก็บพระธาตุใช่ไหม ของครูบาอาจารย์มีนะ แล้วเราก็ใส่ไว้ด้วย เวลาเราตายเราก็มีพระธาตุนะมึง แต่พระธาตุของครูบาอาจารย์ไม่ใช่พระธาตุเรา ของกูเป็นกระดูกไอ้ห่า แต่กูเอาพระธาตุมาใส่ของกูด้วยนะ ก็เป็นพระธาตุเนอะ เราอย่าให้คนหลอก พระธาตุมีใช่ไหม? เราก็กราบไหว้บูชากันใช่ไหม? เราตายเสร็จแล้ว เราเผาเสร็จแล้ว เราก็เอาพระธาตุมาโรยใส่กระดูกเราด้วย ก็เป็นพระธาตุ พระธาตุมีจริง

พระ : พระอาจารย์ครับ ขอโอกาสครับ แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าเราไปลอยน้ำแล้วอย่างนี้ พอเราช้อนขึ้นมาปุ๊บ เราใช้กระดาษธรรมดาเช็ดได้หรือเปล่าครับ หรือว่าใช้ผ้า

หลวงพ่อ : เคารพบูชา พระธาตุนะ พระธาตุถ้ามีพระธาตุนะ ทำความสะอาด พระธาตุต้องทำความสะอาด แล้วบูชาด้วยดอกมะลิ ลูกศิษย์เรานี่บูชา บางคนมีอยู่ ๓-๔ องค์ เป็นร้อย

พระ : ดอกมะลิหรือครับ

หลวงพ่อ : ดอกมะลิ เพราะอย่างของลูกศิษย์เรานี่ บางทีเขาเอามาแจกกัน จาก ๓ องค์เดี๋ยวเป็น ๘ เป็น ๙ มาเองนะ มาเองเขาก็เอามาแบ่งคนโน้นบ้าง แบ่งคนนี้บ้าง มาเอง ต้องมีวาสนานะ ถ้าไม่มีวาสนานะ หายเองนะ หายจริงๆ ทำไม่ดีหายไปเลย หายเองนะ เราถึงว่ามันเป็นวัตถุที่มันแปลก เหมือนเป็นวัตถุที่มีชีวิต มาได้เพิ่มได้ลดได้ ของอย่างนี้มี

เพียงแต่ว่าที่เราพูดนี่เราไม่ต้องการให้เราไปอยู่ในท้องตลาด เพราะท้องตลาด นะ คนดีก็มี คนหาผลประโยชน์ก็เยอะ คือว่าเรามีเท่าไรเราแจกหมด เมื่อก่อนนะเราไปบ้านตาด เราจะมีโควต้า พอไปบ้านตาดปั๊บ ไปกฐิน พระจะเก็บไว้ให้ เกศาท่าน เขาจะเก็บไว้ให้เราเลยนะ กลับมานี่เราแจกๆๆ แล้วพอแจกไปแล้วมันจะขดเป็นตัวด้วง มันจะขดรวมกันหมดนะ เส้นผมนี่มันจะรวมกัน ขดเป็นด้วงเลย เป็นเม็ดๆๆๆ ของหลวงตานี่ เราแจกหมดน่ะ เพราะเราถือว่าญาติโยมเขาควรได้ เราเป็นพระก็ต้องเอาที่นี่

พระ : อย่างเส้นเกศาของหลวงตานี่ผมก็มีอยู่ ก็ยังไม่แปร

หลวงพ่อ : ขาวไหม? ใสไหม? เก็บไว้ขาวใส มันอยู่ หลวงตานะ หลวงตาท่านเผาศพหลวงปู่มั่นเสร็จ ตอนที่เผาศพหลวงปู่มั่น เพราะมันมีเหตุผลไง มันมีเหตุในวัดหลวงปู่มั่น เพราะว่ามันมีพระองค์หนึ่ง หลวงตาท่านเล่าเอง พระองค์นี้เป็นคนอุบลฯ เขากลับมาจากอุบลฯ เขามาฟ้องหลวงปู่มั่นว่า

“เขาเอาพระธาตุของหลวงปู่เสาร์ไปตำ ตำแล้วก็เอาไปผสมทำพระกัน”

หลวงปู่มั่นก็ขึ้นเลย “ไอ้หมา หมาแทะกระดูกๆ ชี้เลย ไอ้โน่นก็หมา ไอ้นี่ก็หมา”

หลวงตานั่งอยู่ด้วยไง ท่านคิดในใจว่า “เราไม่ใช่หมา” คือไม่ยอมไง ไม่ยอมเอาพระธาตุ ทีนี้พอเผาศพหลวงปู่มั่นเสร็จแล้ว ท่านก็ไม่เอา ท่านไม่เอานะ พอท่านไม่เอา ท่านไม่เอาด้วย ท่านกลัวเป็นหมา ทีนี้พอท่านไม่เอาพระธาตุ กระดูกหลวงปู่มั่นเลย ตอนนั้นยังไม่เป็น ตอนนั้นก็ขึ้นไปภาวนาที่ดอยธรรมเจดีย์ที่ว่าท่านอีก ๘ เดือนถึงจะสำเร็จไง

พอสำเร็จ ตึ่ม! ขึ้นมานะ โอ้โฮ ท่านบอกเลย ท่านมากราบนะ มากราบขอขมา ขอแล้วขออีกไง กราบขอขมา เพราะตอนนั้นใจมัน คนยังไม่สิ้นใช่ไหม? ฉะนั้น พอขอขมาเสร็จแล้วก็ไปขอกระดูกมาเก็บไว้ นี่ฟังนะ ตรงนี้ จะเข้าตรงนี้แล้ว ฉะนั้น พอของทั่วไปเขาเป็นพระธาตุกันหมดเลย ของหลวงตาท่านก็เก็บของท่านไว้ ๒๐ กว่าปี ไม่เป็น อย่างไรก็ไม่เป็น

ท่านก็เลย มันสะกิดใจ ลูกศิษย์มากราบ คนโน้นก็เป็นคนนี้ก็เป็น ท่านก็เลยให้ลูกศิษย์ท่านไป ที่อุดรฯ พอให้ลูกศิษย์ท่านไป ๗ วันเท่านั้น ลูกศิษย์มากราบเลย

“หลวงตา หอมไปทั้งบ้านเลยนะ กลิ่นมันหอมก็แปลกใจว่ามันเป็นเพราะอะไร ไปเปิดผอบนะเป็นพระธาตุหมดเลย”

หลวงตาท่านพูดคำนี้ไง ท่านสลดใจ ธรรมะเป็นธรรมสังเวช ปลงธรรมสังเวช ท่านบอกว่า เรานี่จับท่านมาขังคุกไว้ คือพระธาตุควรจะเป็นพระธาตุถ้าอยู่กับคนอื่น แต่ไปอยู่กับท่าน กรรมไง กรรมที่ท่านบอกท่านไม่.. ไม่เป็น อย่างไรก็ไม่เป็น พอให้ลูกศิษย์ไปปั๊บนะ ๗ วันเท่านั้น เก็บอยู่เกือบ ๓๐ ปี พอเปลี่ยนมือนะ เป็นทันทีเลย ฟังอย่างนี้มันอยู่ที่ผู้ มันอยู่ที่คุณภาพของเราด้วย ผู้ที่ถือ เราต้องทำให้สะอาด ทำให้ดี

พระ : ถ้าเช่นนั้นหมายความว่า กระผมอาจจะมีกรรมกับหลวงตา

หลวงพ่อ : เราพูดให้คิดๆ แล้วแต่เราจะคิด เอาเลย

พระ : ผมอยากจะถามว่า ช่วยอธิบายความหมายของพระธาตุให้ผมเข้าใจหน่อยว่ามีความหมายมันคืออะไร?

หลวงพ่อ : ไม่อธิบาย เรื่องยาว เพราะเรื่องอย่างนี้มันเป็นการ.. ทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกมันเป็นไปไม่ได้ กระดูก มันเป็นไปไม่ได้นะทางการแพทย์ เพราะมันมีหมอ คนมาหาเราเยอะมาก มันมีหมอจำชื่อไม่ได้นะเขามาหาเราเอง ตัวเขาเองมาหาเราเลย จากศิริราช เพราะว่าพ่อแม่เขาเป็นหมอ แล้วลูกๆ ก็อยู่ในตระกูลหมอ

เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้เลยนะ แต่ต้องเชื่อ กูงง ทีแรกกูก็งง ไอ้นี่มันเล่นลิ้นอะไรวะ? บอกผมไม่เชื่อเลยพระธาตุ แต่ผมต้องเชื่อ แล้วเขาก็เปิดตัว ว่าเขา ๓ คนเป็นคนผ่าสะบ้าของหลวงปู่แหวน พอผ่าออกมาเป็นแก้วเลย ทางการแพทย์เขาว่าพัสเทลลา (patella)อะไรพวกนี้มันจะเป็นไม่ได้ กระดูกมันจะเป็นแก้วไปไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันน่าสนใจ

ที่เราไม่อยากให้ยึดมั่นตรงนี้มาก เพราะมันจะเข้าไปในทางโลกมากเกินไปไง ในปัจจุบันนี้นะ ทางวิทยาศาสตร์ เรานี่สมมุติว่าพ่อแม่เราตาย เรารักพ่อแม่เรามาก เขาให้เก็บกระดูกไปเผาในเชิงความร้อนสูงสุด เป็นแก้วเหมือนกัน ตกผลึกแล้วมาแขวนที่คอ เดี๋ยวนี้นะ ปุถุชนเขาก็ทำได้ แต่มันเป็นความร้อน ความร้อนเท่าไร สูงมาก แต่ของพวกเราเผากันธรรมชาติ

พระธาตุมันเป็นได้ มันเป็นได้ที่จิตของพระอรหันต์ พอจิตพระอรหันต์มันอยู่ในร่างกาย นี่ไง ที่ว่าธรรมกาย ธรรมกาย ถ้าจิตนี้เป็นธรรมแล้วนะ มันอยู่ในนั้น มันฟอกกายนั้น มีได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น พระธาตุนี่มี มันเป็นเรื่องคุณธรรมอันนั้น อ้าว ว่าไป

พระ : คือออกมาเป็นคริสตัล เป็นสีม่วง

หลวงพ่อ : ใช่ๆ เห็นไหมล่ะ

พระ : วาวๆ เหมือนเป็นพวกทรายสะท้อนแสง

หลวงพ่อ : เคยเห็นเหรอ นั่นน่ะ ที่เราเห็น เราไปเห็นมา ๒ องค์เราถึง เคยเห็นเหรอ เราไปเห็นของหลวงปู่ขาว กับหลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาวไปดูที่ถ้ำกลองเพลสิ เป็นมรกตเลย โอ้โฮ เพราะพระธาตุนี่ มันอยู่ที่คุณสมบัติของจิต คุณสมบัติที่จิต จิตนั้นมันประเสริฐแค่ไหน พอจิตประเสริฐแค่ไหนมันฟอก หลวงตาบอก มันฟอกไง

บางทีพระธาตุดำก็มี เพราะพระธาตุดำนี่นะ ส่วนใหญ่แล้วในตำราบอกว่า เป็นมิจฉาทิฐิมาก่อน คือว่าอย่างเช่นเรานี่ถือศาสนาอื่นมาก่อน แล้วพอเปลี่ยนมาแล้วปฏิบัติ แล้วเป็นพระธาตุจะออกสีดำ ไอ้อย่างนี้ถ้าเราพูดกันไปแล้ว มันก็เหมือนกับเรายกย่องหมู่คณะพวกเรา เป็นพระธาตุเราก็เชื่อ เราก็เชื่อพระธาตุนะ เพราะเราได้มามันแปลกประหลาด

เราได้ประสบการณ์กับตัว ของอาจารย์สิงห์ทองนี่ เพื่อนเอามาฝาก เป็นกระดูก แล้วมันก็เริ่มเป็นแก้วมา ๑ ใน ๔ แล้วก็เป็นแก้วมา ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ ๗๕ แล้วก็ ๓ ใน ๔ เป็นแก้วหมดเลย เป็นพระธาตุหมดเลย อย่างนี้ แหม สะใจมากเลย เป็นชัดๆ เป็นกับมือ เห็นชัดๆ

ที่เราพูดอย่างนี้นะ แบบว่าพระเรามันหลากหลาย พระเรานี่มันเป็นนักธุรกิจก็มาก ฉะนั้นเราถึงแบบว่าไม่ให้ คือได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไง ไม่ต้องให้เราไปขวนขวาย ให้เราเป็นเหยื่อของสังคม ถ้าเรามีวาสนา มันจะมา มันจะได้เอง เราทำใจเราเถิด เราถึงว่าเรื่องพระธาตุเราถือเป็นอันดับ ๒ อันดับแรกคือหัวใจของพวกเรานี่ หัวใจพวกเรานี่อันดับแรก อันนั้นเป็นอันดับ ๒ นะ

ถ้ามันเป็นไปแล้วมันเป็นเอง มีพระอยู่องค์หนึ่ง เรามาพูดหยอกเล่นบ่อย เขาหลงตัวเองไง แล้วเขาไปอยู่ที่บ้านคา แล้วเขาไม่บิณฑบาต แล้วลูกศิษย์ก็ถามว่า ทำไมอาจารย์ไม่บิณฑบาต บิณฑบาตไม่ได้หรอก กระดูกมันเป็นพระธาตุหมด มันร้อน เจอแดดแล้วมันร้อน(หัวเราะ) เราก็ถามว่า มึงไม่ตายห่าไปแล้วหรือ กระดูกเป็นแก้วหมด มันไม่มีผลิตเม็ดเลือดมันจะอยู่ได้อย่างไรล่ะ?

เห็นไหม เราอยู่ในวงการนี้ เราเห็นมาเยอะ คนมันแอบอ้างแล้วมันเอาไปอย่างนี้ เราเป็นพระ เราต้องมีจุดยืน อย่าตื่นตามสังคม เราเป็นจุดยืนให้สังคม ให้สังคมไม่โดนหลอกกันไง เรานี่มีคนมาให้เยอะ บางคนมาให้เยอะมากเลย บอกโยม โยมให้เราเท่าไรนะ เราก็แจกหมด ถ้าโยมเก็บไว้ของโยมดีกว่า บางทีเขามาให้เป็นถาดๆ เลยนะ พระบรมสารีริกธาตุ โยมเอากลับไป ถ้าให้เรานะ พรุ่งนี้หมดเลย พอเช้ามามีโยมมานะ เกลี้ยง เราไม่เก็บไว้เลย วัตถุ ของนอกกาย หัวใจสำคัญ หัวใจ

หลวงตาท่านพูดบ่อย มีพระเอาของไปให้ท่านนะ ท่านบอกเลยนะ

“คนใจมันชั่วกำเพชรนิลจินดามาก็ชั่ว คนมันดี ใจมันดี กำขี้มามันก็ดี”

คือมีคนจะเอาของมาถวายท่านนะ โน่นก็ดี นี่ก็ดีนะ มันเอาหน้ากันน่ะ ท่านบอก

“คนมันชั่ว อะไรดีเข้าป่า โยนเข้าป่าหมด ไม่เอา”

ถ้าคนมันดีนะ น้ำใจเราถึงกันนะ ของไม่มีคุณภาพขนาดไหน แต่เขาคิดกันด้วยใจ หลวงตาท่านพูดอะไรนะ มันสะเทือนใจเราหมด แปลกมาก ท่านพูดอะไรมาสะเทือนใจมากๆ แล้วพอท่านพูดปั๊บ เราจะเอาตรงนี้เป็นตัวตั้งเลย เป็นหลักตรงนี้ เราจะดำรงชีวิตอย่างนี้ เราจะไม่ยุ่งกับใครอย่างนี้ ทำอย่างนี้ๆ ท่านพูดอะไรเราจะเอามาซับไว้ในสมอง เก็บหมด เราทำอย่างนั้นเลยล่ะ

สำคัญที่นี่ๆ แต่มันเป็นการยืนยันกันทางเทคนิคว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นพระอรหันต์ ต้องเป็นพระธาตุ บางองค์เขาบอกว่า เขาบอกเขาไม่ อาจารย์เขาอธิษฐานไว้ไม่ให้เป็น อธิษฐานกับความจริงคนละเรื่อง มีพระพยายามจะพูดให้เรายอมรับ ไม่มีทาง ถ้าเป็นความจริงนะ มึงไม่ต้องบอกให้กูยอมรับหรอก กูรับเอง แต่ถ้ามึงจะบังคับให้กูรับนะ ไม่มีทาง เหตุผลกูฟังขึ้น เราฟังด้วยเหตุผล หลวงตาท่านสอน “เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม” เหตุและผล เราคุยกันด้วยเหตุและผล แล้วลงมาที่เหตุผลนั้นคือธรรมะ

พระ : อาจารย์ แล้วอย่างเกจิอาจารย์บางรูปที่มรณภาพไปแล้ว สังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย นี่เป็นเพราะอะไร ช่วยอธิบายให้ผมหน่อย ผมไม่เข้าใจ

หลวงพ่อ : หมากูก็ไม่เน่า มหากูตายแล้วก็ไม่เน่าเยอะแยะเลย มันเรื่องข้างนอก ดูสิ เอ็งไปดูไอ้นั่น เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ก็นั่งไง เขาเป็นใคร? มีเยอะแยะไปที่เขานั่ง เป็นคนที่นั่งแล้วไม่เน่าก็เยอะแยะไป ไอ้เรื่องอย่างนี้เราไม่ตื่นเต้นหรอก เราไม่ต้องไปตื่นเต้น มันเรื่องข้างนอกนะ ดูมัมมี่ มันทำ ไปดูอียิปต์สิ มันก็ไม่เน่า ของเราพระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้านี่ ๗ วันเผาเห็นไหม

ชาวพุทธ เมื่อก่อนนะ สมัยโบราณ สิ่งที่เขาขุดค้นทางประวัติศาสตร์นะ ทางโบราณคดี เมื่อก่อนเขายังไม่มีศาสนาเขาฝังกันนะ อย่างเช่นกระดูก ห้าพันปี เจ็ดพันปี มันได้เจอบ่อย แต่พอศาสนาพุทธแล้วเผาหมดๆ พอเผาหมดไปตรงนี้ก็จบกันไป เผาเลย กลับสู่สภาพเดิมของมัน อ้าว ว่าไป

พระ : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เกจิอาจารย์นะ เราจะบอกอย่างนี้ เกจิอาจารย์ เกจิอาจารย์ เป็นพวกฌานโลกีย์ เราขึ้นไปอีสาน เมื่อก่อนเราขึ้นไปเราน้อยใจมากเลย ทำไมพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาอยู่ทางภาคอีสานหมด เราต้องไปศึกษามาจากทางอีสาน เพราะทางอีสานเราคิดเลยนะ เมื่อก่อน ไม่ใช่คิด ประสบการณ์ เมื่อก่อนธรรมยุตเรานี่มันไปทางรถไฟกับทางสายน้ำ ที่อุบลฯ มันมีทางรถไฟไปถึงจะมีธรรมยุต แต่ทางสกลฯ ทางอุดรฯ ไม่มีเลย มหานิกายทั้งนั้น

หลวงปู่ฝั้นก็เป็นมหานิกาย แล้วญัตติ หลวงปู่ขาวก็เป็นมหานิกายญัตติ พวกนี้มหานิกายหมดเลย เพราะมันลงด้วยกรรมฐานไง พอลงกรรมฐานปั๊บนี่ ปฏิบัติมันจะเข้มแข็งไง นี่พอลงกรรมฐาน กรรมฐานใครสอน กรรมฐานนี่ปฏิบัติเอาเรื่องของใจใช่ไหม? แต่ภาคกลางเรานี่ ภาคกลางมันทำฌานไง ทำฌานทำสมาบัติไง มันก็เพ่งกันไง เพ่งมาเพื่ออะไร? เพื่อเอาพุทธคุณใส่ในกระเบื้อง เอากระเบื้องมาขายกันไง

แต่มัน เขาเรียก ไม่ใช่สุปฏิปันโน อุชุญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน เดี๋ยวนี้การปฏิบัติมันอุชุญายปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม แต่การเพ่งฌานโลกีย์ เพ่งเพื่อมีสมาธิ มีพลังแก่กล้า เพื่อมาทำไอ้พวกพระนี่ มันเป็นเกจิอาจารย์เห็นไหม เดี๋ยวนี้นะ ดูสิ ฆราวาส เขาก็ทำกันได้

แล้วมึงมาดูไอ้นี่ จตุคามนี่น่าเศร้าเลย จตุคามออกไปเรื่องเทวดาแล้ว นี่จะพูดถึงว่า หลวงพ่อเปิ่นหลวงพ่ออะไรนี่เห็นไหม พระภาคกลางส่วนใหญ่เป็นเกจิอาจารย์ เกจิ คือทำความสงบแล้วเอามาทำคุณประโยชน์ทางนี้ มันอยู่ที่หัวหน้านำไง เวลาในเทศน์จะเทศน์ให้ฟังตลอดว่า หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น เพราะอะไร?

เพราะหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นออกปฏิบัติทีแรก โดนเขาเสียดสี โดนเขารังแก โดนเขาทำลายมาเยอะมาก เพราะเราไปสืบค้นประวัติ แล้วเศร้าใจมาก เพราะคนเขาไม่ทำกัน ห่มผ้าอย่างนี้ไปเขาวิ่งหนีเลย เขาว่าผีบุญ เดี๋ยวนี้ห่มกันหมดเลยนะ เมื่อก่อนมันห่มสีเหลืองแจ๊ดหมดน่ะ พอหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นมานะ เขาจับแล้วจับอีก หลวงปู่มั่นนี่โดนเยอะมาก

เพราะสังคมโลกเขาไม่เชื่อกันแล้วว่ามรรคผลมี ทีนี้เราก็ย้อนกลับมาที่สังคมเราสิเราไปอยู่กับหลวงตาหลวงปู่เจี๊ยะท่านจะพูดถึง อย่างพระภาคกลางนี่ หลวงพ่อเภา วัดสำเภาทอง ลพบุรีน่ะ นั่นน่ะไปเจอหลวงปู่มั่นในป่า แล้วจะขอตามหลวงปู่มั่นไปด้วย ไปเจอธุดงค์ ธุดงค์ไปเจอกันไง ไปเจอหลวงปู่มั่นบอก แล้วธมกรกล่ะ? ธมกรกไม่มี

ธมกรกไม่มีปั๊บนี่ เขาอยากไป เขาบอกว่า “ผมเอาชายผ้านี่ครับ แล้วกดไปอย่างนี้ครับ แล้วผมใช้น้ำนี่” น้ำนี่มีตัวสัตว์ไง หลวงปู่มั่นยังไงหลวงปู่มั่นก็ไม่ยอม เราไปอ่านประวัติหลวงปู่เภาไง หลวงปู่เภาบอกว่าท่านคิดเสียใจมากเลย เราเป็นพระ ท่านจบนักธรรมเอก เป็นพระในกรุง ไปแพ้พระในป่า กลับไปค้นใหญ่เลย ได้คุยกันจนเป็นหมู่คณะกับหลวงปู่มั่น ไปเจอกัน

เพราะหลวงปู่มั่นบอกกับหลวงปู่เจี๊ยะไว้บอกว่า ภาคกลาง ท่านอาจารย์เภาๆ แล้ววันนั้นเราไปหาหลวงปู่เจี๊ยะ ลูกศิษย์ของอาจารย์เภามาบอกกับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะไปเลย พอกลับมาถาม ทำไมถึงไปล่ะ? หลวงปู่มั่นสั่งไว้เพราะท่านเป็นสหธรรมิกด้วยกันอยู่ในป่า

นี่ไง พอคนเข้าป่าไป เพราะเราไม่มีประสบการณ์ไง ธมกรกไม่มี เป็นอาบัติทุกกฏ ถ้าเราบวชไม่มีธมกรกเดินทางเป็นอาบัติทุกกฏเพราะปัจจัย ๔ ธมกรกคือน้ำ บาตรคือข้าว จีวรคือเครื่องนุ่งห่ม ปัจจัย ๔ คนขาดน้ำตาย อดข้าวไม่ตาย ธมกรก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง ไปไหนกูมีพร้อม โลกเจริญๆ

จะจบหรือยังนี่ จบนอกรอบเลย ไม่มีเวลา อ้าว ถ้ามันเป็นเรื่องภาวนาเอาเลย

พระ : นิพพานครับอาจารย์ เป็นแบบกายดับไปเลยไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วไปสู่แดนนิพพาน อย่างเช่น มีนรก มีสวรรค์

หลวงพ่อ : ไม่ใช่ อ้าว ว่าไป

พระ : หรือว่านิพพานคือต่อไปไม่มีเชื้อแล้ว มันเป็นความจริงแล้ว

หลวงพ่อ : ใช่ เหมือนไฟที่ดับไป เพราะคำนี้มันอยู่ในพระไตรปิฎกไง เขาถามว่า

“นิพพานคืออะไร?”

พระพุทธเจ้าให้ผู้เห็นจุดไฟ “เห็นไหม?” “เห็น”

แล้วดับไฟ “เห็นไหม?” “ไม่เห็น”

“เมื่อกี้เห็นไฟไหม?” “เห็น”

เห็นคือชีวิตกับเราไง ดับไปแล้วคือ.. แต่มันมีไหม? มันมี นิพพาน จะบอก มันพูดนะนิพพาน ไม่ใช่ออกตัวนะ เดี๋ยวจะหาว่ากูจะหนีก่อน เราจะบอกว่าถ้าใครอธิบายนิพพานนะ คนนั้นโง่ฉิบหายเลย เพราะอะไรรู้ไหม? ถ้ามึงอธิบายได้นะ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่อธิบายไปแล้ว? ใช่ ถ้ามึงจะอธิบายนิพพานนะ มึงโง่ฉิบหายเลย

พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ฉลาดที่สุดในจักรวาลนี้ แล้วพระพุทธเจ้ายังอธิบายไม่ได้ แล้วมึงจะอธิบายได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าคนรู้จริง ท่านพูดกันวงในเพื่อจะให้มั่นใจว่ามี มีเพราะอะไร? มีเพราะมันสัมผัสได้ นั่นเขาบอกว่านิพพานทั้งกว้างทั้งแคบทั้งนั้น โง่ทั้งนั้น เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันเป็นภพ

มันเป็นที่เอ็งพูดปั๊บนี่มันมีข้อโต้แย้งหมด เพราะโลกนี้สมมุติเอา อธิบายนิพพานไม่ได้ อธิบายไม่ได้เพราะอะไร? เพราะโลกนี้เป็นของคู่ สุขคู่ทุกข์นะ เอ็งว่างก็คู่กับไม่ว่าง ที่พวกมึงบอกว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ก็คือไม่ว่าง เพียงแต่มันเป็นสมมุติ พูดคำว่าว่าง แต่คนรู้จริงเขาอธิบายให้มึงฟังได้ไง นิพพานมีจริง

นิพพานน่ะ สุญตาคือสูญจากกิเลส แต่มันไม่สูญ นิพพานไม่สูญ อย่างเช่นเรานี่ เอ็งปฏิเสธว่าภพชาติไม่มีนะ เอ็งตายลงเดี๋ยวนี้สิ วิญญาณมึงไปแล้ว แล้ววิญญาณมึงเป็นนามธรรมที่มึงไม่เห็น สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ เขาถึงต้องเอาปัญญา สิ่งนี้เรานำไปแก้ไขกัน พอแก้ไขแล้ว ถ้ามึงแก้ไขไม่ได้ มึงปลดไม่ได้ มึงเป็นโสดาบันอย่างไร? เป็นสกิทาอย่างไร? เป็นอนาคาอย่างไร? เป็นพระอรหันต์อย่างไร?

อรหัตมรรค อรหัตผลนะ ยังไม่ใช่นิพพานนะเว้ย มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นะ อรหัตมรรคคือการกระทำ อรหัตผลคือผลที่มันจะสรุป สิ่งที่ยัง เพราะมันต้องมีอรหัตมรรค มันต้องมีอรหัตผล เพราะถ้าไม่มีอรหัตมรรคมารองรับ ทางวิชาการคือการกระทำที่มันเป็นจริง แล้วผลที่เกิดขึ้นมา พอมันสรุปแล้ว ถึงเป็นนิพพาน ๑ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ใช่ไหม? แล้วอรหัตมรรค อรหัตผล ถ้าพูดถึง อรหัตมรรค อรหัตผล เป็นนิพพานเลย มันก็จะเถียงกันแล้ว มรรคของใครถูกมรรคของใครผิดแล้ว?

พระ :ถ้าจิตดับเหมือนกับว่าจิตเราหยุด..

หลวงพ่อ : ไม่ดับ

พระ : หรือว่าถ้าเราจะเป็นธรรมดาอย่างนี้หรือครับ?

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : แสดงว่านิพพานนี่ ตายปุ๊บก็ไปเกิดใช่ไหม?

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : หรือว่าจากดวงจิตเราครับ?

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : ดวงเดิมใช่ไหม?

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : แล้วถ้านิพพานก็คือ ดวงจิตเรานี่ครับ

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : ที่จะไปเกิดในภพภูมิแห่งนิพพาน

หลวงพ่อ : นี่ เราจะพูดอย่างนี้ไง เราจะรับว่าใช่ เราก็โง่อีกแล้ว นี่เราจะพูด ถ้ากูรับ “ใช่” กูโง่ทันทีเลย เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะกูไปรับเอาสิ่งที่มีอยู่ว่าเป็นนิพพานไง เพราะนิพพานคือจิตที่มันเข้านิพพานแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ เพราะมันมีพวกนี้ พวกธรรมทูตมาถามเรา ธรรมทูตนี่เขาไปเจอนักบวชนอกศาสนาเขาจะถามเรื่องนิพพานว่า

“จะเข้านิพพาน จะเอานิพพานอย่างไร?”

กูบอก “นิพพานเข้าไม่ได้ นิพพานเข้าไม่ได้”

ถ้าเข้าไปใครเป็นคนเข้า ใครเป็นคนออกนิพพาน ใครเข้านิพพานล่ะ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป อาสวะสิ้นไปจากดวงจิต ดวงจิตๆ นั้นเป็นนิพพาน แต่ดวงจิตนั้นเข้านิพพานไม่ได้ ถ้าเข้าไปมันก็มีสิ่งที่เข้า สิ่งที่เข้าก็คือภพ ใช่ไหม? มันไม่มีสิ่งที่เข้า แต่ตัวมันเป็นนิพพานได้ ทำลายตัวมันเอง

นี่ไง อรหัตมรรค ถ้ากูรับเมื่อกี้กูก็โง่ แต่ทีนี้คำถาม โทษนะ คำถามมันโง่เอง แล้วจะทำอย่างไร เพราะคำถามมันโง่ กูก็ต้องตอบโง่ๆ เพียงแต่ว่าคำถามมันโง่เพราะอะไรเพราะมันต้องการอยากรู้ใช่ไหม นี่เราเป็นพระด้วยกันนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันมีของมันอยู่ มี นิพพานมี

ถ้านิพพานไม่มีนะ พระพุทธเจ้า ๔๕ ปีเอาอะไรสอน? พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ มันมีเพราะอะไรรู้ไหม? สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ คือนิพพานที่ยังอยู่กับเรา อนุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ตายแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานคืออันเดียวกัน ตั้งแต่วันที่สำเร็จขึ้นมานะ นั่นน่ะใจเป็นนิพพานแล้ว พอใจเป็นนิพพานแล้วมันยังมีเศษส่วน เศษส่วนคือความคิดกับร่างกาย

ฉะนั้น ถ้าเราเจอครูบาอาจารย์แบบนี้ เราถึงบอกว่า โคตรโชคดีเลย เพราะมันเป็นพระไตรปิฎกที่มีชีวิต พระไตรปิฎกในตู้นี่คุยกับเราไม่ได้ แต่ถ้าพระอรหันต์มันเป็นพระไตรปิฎกแล้วมีชีวิต พระไตรปิฎกนี่คุยกับเราได้ สัมผัสกับเราได้ นี่ไงเราถึงบอก ชาวไทย พวกชาวพุทธนี่โชคดีมากๆ เลย แต่มันโง่ มันบอกมันไม่มีก็ช่างหัวมัน อ้าวว่าไป

พระ : ถ้าพระนิพพานแล้วนะครับ หมายถึงว่า ถ้าสมมุติว่าเรา หมายถึงว่า อาราธนาท่านขอให้ท่านมาช่วยคุ้มครองเรา หมายถึงว่า คือท่านจะมาได้ไหมครับ? คือว่าท่านเข้านิพพานแล้วนะครับ

หลวงพ่อ : ที่ไหนล่ะ? เอานิพพานองค์ไหนล่ะ?

พระ : หมายถึงว่า สมมุติว่าเป็นพระนะครับที่บอกว่าเป็นพระอนาคามีใช่ไหมครับ แล้วแบบมีญาณหรือว่าเดินบนพรหมด้วยนะ อาจจะแบบว่าเหมือนกับว่าคือแบบสมมุติว่าเราขอพรท่านหรืออะไรอย่างอื่นก็ตาม ท่านจะมาช่วยเรา สมมุติว่าเรามีอันตรายใช่ไหมครับ? อย่างเช่น เกิดอุบัติเหตุหรือว่าประสบเหตุการณ์อะไรอย่างนี้

หลวงพ่อ : ไม่หรอก มันเป็นอย่างนี้นะ ถ้าพูดอย่างนั้นปั๊บนะ มันเป็นสิ่งที่เหนือกรรม เพราะพระพุทธเจ้าไม่เหนือกรรมนะ แต่ช่วยได้เป็นบางคราว คำว่าบางคราวหมายถึงว่าเป็นสายบุญสายกรรม มันทำได้ คำว่าสายบุญสายกรรม คือมันเกื้อหนุนกันมาในสิ่งที่ดี แต่ถ้าสิ่งที่มันเกื้อหนุนกันมาไม่ดี มันเหนือกรรมไม่ได้ คำว่าเหนือกรรมนี่ เราจะไม่มีอำนาจ

เรานี่เป็นโจร ไปปล้นคนอื่นไว้ แล้วจะให้พระองค์ไหนมาช่วยเรานี่ ก็เท่ากับไปทำลายน้ำใจคนที่เราปล้นด้วย เรามีกรรมแล้วนี่ กรรมที่มันเกิดขึ้นมากับเรา พอกรรมที่เกิดขึ้นมากับเรานี่ ใครจะมาช่วยกรรมนี้ของเราได้ เว้นไว้แต่เราภาวนาแก้กรรมที่ใจเรา คือมันพ้นจากกิเลสอย่าง พระโมคคัลลานะ

พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ จนโดนโจรทุบตาย เพราะกรรมที่ฆ่าแม่ไว้ คำว่ามีกรรม กรรมของเราก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามีสายบุญสายกรรม คำว่าสายบุญสายกรรมคือมีกรรมร่วมกันมา เขาจะเกื้อกูลเราได้ แต่ถ้าพูดถึงว่าอย่างเราอธิษฐานแล้วจะให้ได้หมดน่ะ ก็กูฆ่าเขาเลย แล้วอธิษฐานให้ช่วยกูจะได้ไหม? นี่สมมุติๆ ไง

สมมุติให้เห็นชัดๆ ใช่ไหม ว่าเราทำชั่ว แล้วก็บอกว่าให้พระอรหันต์มาช่วยกูให้กูเป็นคนดี มันเป็นไปได้อย่างไร? ก็กรรมจำแนกสัตว์ เราทำซะเอง เราทำแล้ว วิบากเกิดแล้ว มันต้องเป็นผลอย่างนั้นแล้ว เราจะบอกว่าไอ้คำว่าได้ เหมือนพ่อแม่กับลูก มันก็รักกันเป็นธรรมดา มันได้ เขาเรียกว่าสายบุญสายกรรมไง สายบุญสายกรรมนี่มันจะเกื้อหนุนกัน

แต่ถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรม ทำไมพระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ ทำไมลูกศิษย์ของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน เราไปฟังเทศน์องค์นี้ แม่งฟังไม่เอาไหนเลย ไปฟังองค์อื่น องค์อื่นดีกว่า จริตนิสัยของคนมันก็แตกต่างหลากหลาย ถ้าบางทีนะเราคิดทางวิทยาศาสตร์ไง คิดว่าพระองค์นี้จะมีบุญมากจะช่วยเหลือได้

บางคนบอก โอ๊ย ทำแล้วได้บุญนะ ก็ตั้งมันเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสิ คนไหนรักษาโรคได้ดี ก็ตั้งเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขเลย จะได้ไม่มีคนตาย มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันช่วยเจือจางด้วยสายบุญสายกรรม ถ้าอย่างนั้นปั๊บนะ ถ้าองค์ไหนจะทำได้นะ ตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ประเทศชาติจะได้มีสตางค์ ถ้าใครช่วยได้หมดก็.. มันไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้นะ

พระพุทธเจ้าเห็นไหม ที่ว่าหลวงตาท่านพูดถึงลูกศิษย์ของพระกัสสปะ ที่เขาหาบของไป พระพุทธเจ้าบอกว่า นี่เป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ ไม่ฟังพระพุทธเจ้าหรอก พระพุทธเจ้าบอกนั่งรออยู่นี่ ลูกศิษย์พระกัสสปะ เดี๋ยวเขาจะมาเอง พอเขาไปเจอพระกัสสปะ เขาศรัทธาพระกัสสปะ พระกัสสปะก็บอกว่า “พระกัสสปะเป็นลูกศิษย์” ก็อยากถวายอาจารย์ด้วย พระพุทธเจ้าก็ได้เห็นไหม สายบุญสายกรรมนะ

ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่ท้อใจหรอก เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว จะสอนเขาได้อย่างไร? ยังมีเราฟังอยู่ในธรรมบทที่บอกว่าพระโมคคัลลานะ จะไปต่อว่าพระพุทธเจ้าไง ว่าพระพุทธเจ้าไปสอนคนที่อื่นหมดเลย คนที่หน้าวัด ทำไมไม่ไปสอน? มันมีโยมคนแก่คนหนึ่ง

ทีนี้พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ได้หรอก เขาไม่รับ แบบว่ามันไม่มีวาสนาไง ทีนี้พระโมคคัลลานะไม่เชื่อ พระโมคคัลลานะไม่เชื่อบอกพระพุทธเจ้าให้ลอง นั่งอย่างนี้พอเรามาเทศน์อย่างนี้ก็หันหน้าหนี เวลามาเทศน์ก็หันหน้าหนี พอเข้ามาใกล้ๆ ก็หันหน้ามองฟ้าเลย พระโมคคัลลานะขึ้นไปเหาะเทศน์เลย ก็ก้มหน้าลงดินเลย นี่ไม่เอาไง คนไม่ ใจปิดซะอย่างเดียวไง คนมีฤทธิ์มีเดชขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้

อันนี้เพราะคนไม่เข้าใจก็บอกว่า แบบว่าอยู่หน้าวัดไง พระพุทธเจ้า หน้าวัดยังไม่สอน ไปสอนคนไกลไง พระพุทธเจ้าบอกว่าเขาไม่เอา ใจมันปิดน่ะ ไม่ใช่ว่าเรา เอ็งทำดีแล้วคนจะชมหมดนะ เราทำดี ทุกคนทำดีก็มีคนชม มีคนติ เหรียญมี ๒ ด้านหมด สังคมไหนไม่มีคนดีหมดและคนชั่วหมด

ฉะนั้น หลวงตาท่านสอนบ่อย ให้ดูใจเรา คนโง่ติเตียนขนาดไหนช่างมันเถอะ เพราะคนมีปัญญาเขาพูดเราควรจะฟัง ในสังคม เหตุผลที่มันฟังได้มันก็ฟังขึ้น เราก็ปรับปรุงตัวเรา ถ้าเหตุผลมันไม่มีเลย เราจะไปฟังเขาทำไม คนโง่คนฉลาดนะ เราต้องวัดคุณค่าเขาด้วย ไม่ใช่ใครพูดอะไรจะเชื่อ

พระ : อาจารย์ครับขอโอกาสครับ อย่างที่บอกว่าการฆ่าตัวตาย เราต้องใช้กรรมจนกว่า ต้องฆ่าตัวตายทุกชาติ จนกว่ากรรมจะหมด และถ้าเกิดสมมุติเราฆ่าผู้อื่นตาย เราก็ต้องผลัดกันฆ่าจนกว่ากรรมจะหมด

หลวงพ่อ : อันนี้อันหนึ่ง ไอ้เรื่องนี้นะมันมาจากพระไตรปิฎก พอมาจากพระไตรปิฎกปั๊บ พวกเราก็คิดเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องตายตัว เราบอกไม่ใช่หมดล่ะ แต่โดยหลักเป็นอย่างนั้น ตอนนี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งเขาทำร้ายตัวเอง เขามาถามเรา อย่างนี้ต้องฆ่าตัวตายตลอดไหม? เราบอกว่าโดยหลักนะ คนฆ่าตัวตายแล้วนี่ เราทำแล้วมันมีกรรม มันก็มีความฝังใจ

แต่ความฝังใจนี่เราก็ทำบุญบ้าง เราก็ทำดีบ้าง เราก็ภาวนา ไอ้บุญและภาวนานี่มันก็ทอนให้อ่อนลงได้ เรา อย่างนี้ กูจะชั่วตลอด กูไม่มีความดีเลยหรือวะ? กูจะชั่วอย่างเดียวเลยเหรอ กูก็ทำดีบ้างเหมือนกันนะ มันก็มีความดีมาเกื้อหนุนบ้าง แล้วนี่คิดทางวิทยาศาสตร์นะ นี่คึกฤทธิ์พูดเราซึ้งนะ คึกฤทธิ์บอกว่า รับไม่ได้ว่ากฎแห่งกรรม รับไม่ได้ กฎตายตัว แต่ถ้ามันผลของกรรมนี่รับได้ อย่างเช่นเรานี่ ถ้ากฎแห่งกรรมนะ พวกเราน่ะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้นะ เพราะเราเกิดมาจากกิเลสใช่ไหม? ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่ทำไมเราเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ? เพราะกรรมมันแก้ได้ไง กรรมนี่ทำลายได้นะ

พระ : ขอโอกาสครับ แล้วอย่างการฆ่า ผลัดกันฆ่ากันอย่างนี้ล่ะครับ?

หลวงพ่อ : ผลัดกันฆ่าเพราะอาฆาต

พระ : แล้วเราจะสามารถทำให้การอาฆาตของเรานี่ดับหายไปได้ไหมครับ?

หลวงพ่อ : เอ็งอุทิศส่วนกุศลให้เขาสิ อภัยทานสิ มันมีในพระไตรปิฎกใช่ไหมที่ว่า ๒ คนผลัดกันฆ่าน่ะ พระพุทธเจ้าให้อภัยต่อกัน มันมี มันมีพวกแบบว่า มีเยอะมากนะไอ้พวกที่แบบว่าเขาเป็นแบบกลางๆ ๒ เพศ เขามาหาเรา ทำไมผมเป็นอย่างนี้ๆ แล้วบางคนเขาบอกเลยนะ บอกว่าอะไรนะ? ไปผิดศีลข้อสามแล้วจะเป็นเพศตรงข้ามน่ะ กูบอกอย่างนั้นเมืองไทยไม่มีผู้ชายเป็นผู้หญิงหมด มันพูดบ้าๆ ผิดศีลน่ะมันเป็นบาปไหม? เป็น

ผิดศีลมันก็มีกรรมใช่ไหม? เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันผิดศีลนี่กรรมนะ เวลาเราไปทำลาย ไม่ได้ทำลายคนคนนั้น ทำลายพ่อแม่เขา พ่อแม่ทุกคนต้องรักลูก ถ้าลูกเขาเราไปทำ มันกระเทือนหัวใจไปเยอะมาก กรรมมันมีนะ แต่ถ้ามันผิดแล้วมันเป็น ผู้หญิงเป็นเพศตรงข้ามหมด

แต่ทำไมเขาเป็นอย่างนั้นล่ะ? เป็นอย่างนี้เพราะมึงปรารถนา พระอานนท์นะเป็นผู้หญิงมาก่อน แล้วพระอานนท์อยากเป็นผู้ชาย กลายเป็นผู้ชายนี่ ระหว่างที่ร่างกายมันยังไม่ไปนะจิตใจมันไปแล้ว แล้วอย่างผู้หญิงอยากเป็นผู้ชาย ผู้ชายอยากเป็นผู้หญิง ทีนี้พออยากเป็นปั๊บ มันก็ตั้งแรงปรารถนา มึงชอบเองมึงปรารถนาเอง พอมึงปรารถนาปั๊บมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้มันมีมาแต่ไหนแต่ไร แต่เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญใช่ไหม? ประชาธิปไตย ทุกคนแสดงออกได้ มันก็แสดงออกมา เมื่อก่อนมันก็เป็นอย่างนี้ แต่ด้วยศีลธรรมจริยธรรมมันกดไว้

พระ : ไม่ใช่เพราะกรรมใช่ไหมครับ หมายถึงว่า

หลวงพ่อ : กรรมด้วย เพราะกรรมเขาอยากไง เขาอยากเป็น

พระ : กรรมข้อ ๓ ล่ะครับ ที่เขาบอกว่า เคยนอกใจหรือว่าทำผิดศีลข้อ ๓ ถึงเป็นอย่างนี้ หรือไม่ใช่ หรือว่าเขาอยากเป็นเอง?

หลวงพ่อ : เขาอยากเป็นด้วย ถ้ากรรมข้อ ๓ เราทำมาขนาดไหนก็แล้วแต่นะ เราเองก็สะเทือนนะ เพราะเราสังเกตเรื่องนี้มาเยอะนะ เราสังเกตเรื่องนี้ เพราะเพื่อนๆ เราเสือผู้หญิงนี่เยอะมาก แล้วพอมันเป็นเสือผู้หญิง พอมันมีครอบครัวขึ้นมา ลูกมึงน่ะ ทั้งลูกทั้งบ้านเดือดร้อนกันไปหมด ลูกเรานะมันจะทำให้เราเจ็บปวด

กรรมที่เราทำเขา สะเทือนเขา เวลาคนรอบข้างเราโดนเขารังแก เขาจะเจ็บขนาดไหน ทั้งเจ็บทั้งปวดนะ แล้วทั้งทำให้ครอบครัวกระสานซ่านเซ็น เราเห็นมาเยอะนะ มันเจ็บปวดกว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายอีก เพราะเป็นผู้หญิงผู้ชายนะมันเป็นเรื่องเพศข้างนอก แต่ความเจ็บปวดของใจ อย่างไรก็เจ็บ คนที่รักที่สุดเราโดนรังแก เอ็งเจ็บไหม?

อย่างเช่นพระเวสสันดร เขาบอกว่าเห็นแก่ตัวๆ พระเวสสันดรนี่นะเป็นสุภาพบุรุษ เป็นกษัตริย์นะเว้ย ชูชกนั้นเป็นขอทาน มันขอลูกไปแล้วมันตีต่อหน้ามึงเจ็บไหม? มึงขอลูกกูมึงขอกูไปดีกว่า มึงจะตีลูกกูมึงตีกูดีกว่า แต่ทำไมมึงไม่ตีกูไปตีลูกกู มันสะเทือนนี่นะ โพธิญาณจะเกิดที่นี่ พระโพธิสัตว์ชาติสุดท้ายต้องสละลูกสละเมียทุกคน

พระ : ขอโอกาสครับ เมื่อกี้พูดถึงเรื่องนิพพาน จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ที่ว่า พอดีดูในพระพุทธเจ้าฉบับการ์ตูนนะครับ ที่ตอนพระโมคคัลลานะโดนโจรทุบนะครับผม ช่วงที่โดนโจรทุบนี่ ก็ปรากฏว่า ท่านกลับไปทูลลาเพื่อจะไปนิพพาน ไอ้ตรงกราบทูลลานี่ ช่วงนี้ใช้กายอะไรครับ

หลวงพ่อ : เราพูดบ่อยตรงนี้ เราเอามาเทศน์ให้เห็นผลไง อย่างพวกเราโดนทุบนะ อย่างเช่นเราภาวนา แค่ปวดเรายังทนไม่ได้เลย ไอ้นี่โดนทุบจนกระดูกหักแหลกหมดเลย นี่พระอรหันต์ พระอรหันต์ถึงว่าเวทนาไม่มีไง เพราะถ้าปุถุชนราโดนทุบกัน อย่างฤๅษีนี่มันเหาะมาได้ เจอผู้หญิงอาบน้ำมันตกเลย

ไอ้นี่มันสะเทือนใจมาก เราเจ็บปวดขนาดนี้เห็นไหม นี่ไง นิพพาน คือจิตที่มี โดยฤทธิ์ เพราะมีฤทธิ์มาก รวมร่างกายให้เป็นปกติ แล้วเหาะไปลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่า “ตามแต่ความสมควรของเธอเถิด ตามแต่เวลาของเธอ แต่ก่อนไปให้แสดงธรรมให้น้องๆ ดูก่อน”

พอแสดงธรรมแล้วกลับไป พอกลับไปถึงตรงที่เก่า ตัวเองก็ไปนอนลงที่เก่า แล้วคนมันตายแล้ว เอาฤทธิ์นี่คลายออก พอคลายออกแล้ว ร่างกายที่รวมมาเป็นอย่างนี้ มันก็แตกสลายอย่างเก่า แล้วพระพุทธเจ้าก็ตามมาเผานะ เก็บแล้วเผา

พระ : ขอถามพระอาจารย์ คือ เป็นไปได้ไหมครับ ที่บอกว่าพระที่นิพพานแล้วคือว่า เอ่อ กลับมาสั่งสอนลูกศิษย์ครับ

หลวงพ่อ : ได้ๆ อยู่ในประวัติหลวงปู่มั่นไง นี่เขาเถียงกันมาก ว่าพระพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น เขาว่าเป็นไปไม่ได้ๆ

พระ : หมายถึงว่าคือว่า แล้วการนิพพานนี่ คือจิตไม่ได้สูญ

หลวงพ่อ : ใช่

พระ: แล้วมาบอกได้ใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : มันคนละมิติหมด คนละมิตินี่ โดยปกติไม่มา โดยปกติไม่มาหรอก เพราะธรรมดาเราไปไหนไม่ไปไหนอยู่แล้ว อย่างเทวดาจะมา เทวดาเขาไม่ได้กินข้าวอะไรอย่างเรา ไม่มาหรอก แต่ถ้ามานี่มันสายบุญสายกรรม

ทีนี้พอมานะ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร มโนคือความรู้สึกนึกคิด มโนคือใจ มโนเห็นไหม มโนสัญเจตนาหาร แต่โลกปริยัติตีกันว่า มโนสัญเจตนาหารคืออาหารของมนุษย์ไง มโนวิญฺาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ คือว่าพระอรหันต์ทำลายมโนแล้ว จิตดวงนั้นเป็นนิพพาน สร้างจิตดวงนั้นมาเป็นมโนเจตนา

แล้วทีนี้ ผู้ที่ อย่างเช่นหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ จิตท่านเข้าสมาธิอยู่เห็นไหม คือมันสัมผัสกันได้ด้วยทางจิต สัมผัสกันได้ แต่นี้อย่างนี้พอบอกว่าโอ๊ยพระอรหันต์ ไม่มี มาไม่ได้ โอ้ กำไม้ในใบมือไง พระไตรปิฎกนี่กำไม้ในใบมือ เอ็งดูสิ ใบไม้ในป่าสิ สิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์อีกเยอะแยะนัก ทีนี้เพียงแต่ว่า อย่างนี้มันก็เป็นความเชื่อเนอะ เขาเชื่อก็บอกว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์อีกแล้ว เพราะเรามันงมงาย กูงมงายฉิบหายเลย

พระ : (เสียงถามไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เราเชื่ออย่างนั้น

พระ : ขอถามเพิ่มเติมนะครับอาจารย์ หมอ... ผมเคยได้ยินมาครับ เขามีวิชาหนึ่งครับ ชื่อวิชามโนมยิทธิ การดูจิตครับ คือฤทธิ์ทางใจ คือฤทธิ์ที่บอกว่าสามารถที่จะทดลองได้คือว่า เหมือนว่า พาคนไปดูนรก-สวรรค์ได้ครับ โดยการที่เราให้จิตไป แยกจากกายไป

หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้เราว่าอุปาทานหมู่ เราไม่เชื่อ เพราะมโนมยิทธินี่กูลองแล้ว เข้าสมาบัติ เพราะมโนมยิทธิ เขาบอกว่าให้เข้าสมาบัติ เข้าสมาบัติจนชำนาญมาก มีคนชำนาญมาก แม้แต่คนเราจะถ่ายนะ จะขี้ ต้องเข้าสมาบัติ กินข้าวนี่เข้าสมาบัติได้หมด แล้วมโนมยิทธิไง น้อมสมาบัตินี้ไปวิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ แค่เคี้ยวหมากแหลกจะเป็นพระอรหันต์

ทำตามทฤษฎีจริงไหม? จริง แต่การปฏิบัติได้ไหม? กูว่าไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะว่าพวกเรานี้มันหยาบ พอเราทำสมาบัติได้นะ ทุกคนคิดว่าสมาบัตินั้นคือนิพพาน เพราะเวลาปฏิบัติไปแล้วเราจะมีอุปสรรคมาก ทีนี้พอปฏิบัติไป พอจิตมันว่างมันสงบ แล้วมันเปลี่ยนขั้นตอน อย่างที่ว่าเมื่อกี้เห็นไหม? ปฐมฌาน ทุติยฌาน ที่ว่าเรื่องกายเบา เรื่องปีตินี่

ทีนี้พอมันจากอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งมันเป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่ง ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติจะบอกว่านี่เป็นขั้นตอน คือว่าเป็นสกิทา เป็นอนาคา มันจะหลงตัวเองว่าเป็นธรรมะ คนที่ได้ทำฌานสมาบัติ จะเข้าใจว่าฌานสมาบัตินี้เป็นนิพพาน จะเข้าใจอย่างนั้น พอเข้าใจอย่างนั้นมันก็ขยับไปไม่ได้ ทีนี้ในการปฏิบัติ เราตรวจสอบตรงนั้น

ฉะนั้นอย่างที่ว่า มโนมยิทธิที่เขาพาไปน่ะ เราจะบอกว่านรก-สวรรค์มีจริง ถ้าพูดถึง มโนมยิทธิ เราจะยืนยันตรงนี้ ยืนยันตรงนี้ พระพุทธเจ้า พระนันทะ แต่งงานใหม่มาใช่ไหม? พอไปแต่งงานใหม่ โอ้โฮ เจ้าสาวสวยมากเลย นอนฝันถึงเจ้าสาว

“นันทะเธอจะบวชหรือ?” “บวช”

พอบวชเสร็จแล้วก็คิดถึงแต่เจ้าสาว พระพุทธเจ้าบอกว่า

“เธอดูนะเจ้าสาวเป็นอย่างไร? เธอดูไว้นะ แล้วเราจะพาไปดูนางฟ้า”

พระพุทธเจ้าจับมือนันทะเหาะไปเลย พระนันทะตอนนั้นยังเป็นปุถุชนอยู่ ไปเห็นนางฟ้านะ พอกลับมา

“นางฟ้าสวยไหม?” “โอ้โฮ สวย สวยกว่าเจ้าสาวเยอะเลย”

“อยากได้นางฟ้าไหม?” “อยากได้”

ถ้าอยากได้ให้พุทโธๆ พุทโธจนเป็นพระอรหันต์เลย

พระ: แล้วเห็นจริงใช่ไหมครับ?

หลวงพ่อ : จริง

พระ : หรือว่าต้องถอดจิตไปครับอย่างนี้

หลวงพ่อ : เฮอะ อย่างที่เราพูดเมื่อกี้นี้ที่ว่า สิ่งที่หลวงปู่ดูลย์พูด สิ่งที่ว่าความเห็นนั้นจริงไหม? จริง แต่ความเห็นนั้นจริงหรือเปล่า? สิ่งที่เห็นจริงไหม? ใช่ แต่ความเห็นนั้นจริงหรือเปล่า? เราไม่เชื่อตรงนี้ไง เราไม่เชื่อสิ่งที่เขาคุยกันตรงนี้ เราไม่เชื่อสิ่งที่เขาบอก ที่เขาพากันไป เราไม่เชื่อ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะคนที่พาไปน่ะ มีวุฒิภาวะอะไรวะ?

อ้าวนี่ อาจารย์เป็นคนตั้งให้เราพาเอ็งไป กำหนด กำหนดเลย ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ แล้วต่างคนต่างพากันไป เราจะบอกว่านะไอ้คนที่พาไปน่ะ มันไม่น่าเชื่อถือ เราไม่เชื่อ

พระ : คล้ายสะกดจิตหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ : เราคิดอย่างนั้นๆ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพาไป พระโมคคัลลานะ เห็นไหม ที่พราหมณ์นิมนต์ไว้ เห็นไหม ที่ข้าวยากหมากแพง แล้วพระโมคคัลลานะทนไม่ไหวเลย ใช่ไหม? พระโมคคัลลานะทนไม่ไหว บอกพระพุทธเจ้าเลย

“จะพลิกแผ่นดินขึ้นมา จะเอาง้วนดินขึ้นมากิน”

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?”

“จะพาพระนี่เหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง เราจะพูดตรงนี้ พูดถึงพระพุทธเจ้านี่เป็นศาสดาของเรา แล้วคนที่ทำไม่ได้จริงไปพูดกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเขกหัวไหม? คนที่จะไปพูดกับพระพุทธเจ้าว่าทำ ทำอย่างไร? ต้องทำได้จริงไหม? ไปขอพระพุทธเจ้าเลยว่า จะพาพวกพระจับมือต่อๆ กัน แล้วผมจะจับมือพาเหาะไปเลย ไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่งเลย

พระ : วิชานี้มีจริงใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : มีจริง

พระ : หรือว่าคนที่พาไปจะทำได้หรือเปล่า

หลวงพ่อ : ใช่ เรื่องนี้เราเชื่อ เราเชื่อว่ามันเป็นได้จริง อย่างมโนมยิทธิ เราบอก เห็นไหม ทฤษฎีนั้นถูกไหม? ถูก แต่คนทำเราไม่เชื่อ เพราะโอ้โฮ มันอุปสรรคเยอะน่ะ อย่างเอ็งเห็นไหม เขานั่งรถเบนซ์กันหมดเลย แล้วบอกกูจะถอยรถเบนซ์ เอ็งเชื่อกูไหม? เอ็งเชื่อไหมกูจะถอยรถเบนซ์ ก็กูไม่มีสตางค์ กูจะไปถอยอะไร เห็นเขานั่งรถเบนซ์กันเต็มตลาดเลยใช่ไหม? กูก็โม้เลยกูจะถอยรถเบนซ์ เอ็งเชื่อกูไหม? ถ้าเอ็งเชื่อกูเอ็งก็บ้า เพราะกูไม่มีสตางค์ แต่รถเบนซ์มันมีไหม? มี เพราะกูทำไม่ได้

พระ :ถามพระอาจารย์ คือผมอย่างนี้ เพื่อนของโยมแม่เขาพาไปหาพระองค์หนึ่งครับ ไปถามเรื่องตัวเองนี่ครับ พอดีท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ... ชื่อพระอาจารย์... โยมแม่บอกว่านี่ ลูกชายนี่เขาเพิ่งเรียนจบ ให้ช่วยแบบว่า แนะนำสั่งสอนหน่อย ท่านก็พูดมาเลย เรื่องราวในอดีต เรื่องของเรา พูดกันตรงๆ เลย อย่างนี้คือแบบว่า เป็นมโนมยิทธิหรือเปล่าครับ? เพิ่งเจอครั้งแรก ท่านแบบเล่าเรื่องราวของผม ได้ตรงหมดเลย

หลวงพ่อ : กูไม่เชื่อ (เดี๋ยว เฮ้ย เอ็งอย่าแซงดิ) (หัวเราะ)

พระ : ไม่ ผมกำลังจะพูดว่า เขาไม่ได้เจอท่าน แต่เขาเจอแม่เขาก่อน

หลวงพ่อ : อันนี้อันหนึ่งๆ เราจะพูดคำนี้ด้วยอันหนึ่ง แต่ไม่อย่างนั้นหรอก หนึ่งเจอแม่อยู่แล้ว แล้วตอนที่เศรษฐกิจมันแย่นี่ ในหลวงพูดว่าอย่างไรรู้ไหม? บอกว่า โอ้โฮ ตอนนี้เศรษฐกิจดีมาก เราก็งงเลย ทำไมเศรษฐกิจอะไรดี? อ้าว ก็เศรษฐกิจหมอดูมันดีไง ถือมงคลตื่นข่าว พระพุทธเจ้าให้ถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้าพ้นจากพระสงฆ์ พ้นจากธรรมะนี่นะ ขาดจากเป็นเณรเลย ไตรสรณคมน์ ก่อนจะบวชเป็นพระต้องถือไตรสรณคมน์ก่อน แล้วพูดที่เรื่องที่ไม่ใช่ เห็นไหม อย่างที่เราพูดใช่ไหม สุปฏิปันโน อุชุญาย สามีจิ มันอยู่ที่มุมมองเขานะ เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อพวกนี้เลย เพราะประสาเราเลยนะ หมอดูมันทายแม่นกว่าอีก โธ่ หมอดูมาหาเรานี่ไม่กล้าดูหรอก เพราะหมอดูมาหากู กูซัดหมอดูกระเด็นหมด

พระ : ก็คือ ท่านพูดถึงแบบว่าในเรื่องที่บอกผมไม่ได้บอกแม่ คือไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมไม่ดีที่ผมทำไว้ แต่ว่า ท่านพูดออกมาว่ามันไม่ดีนะอะไรอย่างนี้ คล้ายกับรู้เองว่ามันไม่ดี ท่านอยู่ไม่ได้หรอก แล้วก็เป็นเรื่องอะไร ท่านพูดออกมาแบบนี้ อะไรอย่างนี้ หรือท่านพูดออกมา

หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้นะ เพราะอย่างนี้ปั๊บนะ สังคมมันถึงเชื่อตรงนี้กันไง สังคมมันเชื่อ เราถึงบอกเมื่อกี้ว่ามงคลตื่นข่าว เห็นไหม ไปเชื่อนอกศาสนา ไปเชื่อเรื่องนอกศาสนา อย่างนี้นอกไหม?

พระ : ถ้าเป็นกลาง หรือเป็นพระนี่..

หลวงพ่อ : ถ้าไม่เป็นพระเราจะไม่พูด ก็เพราะเป็นพระนี่ไงเราถึงได้พูด เราสลดใจยิ่งกว่านั้นอีก สลดตรงที่ว่าพระนี่เข้าเจ้าเข้าทรงกัน เข้าเป็นหมอดูกัน มันเป็นอาชีพๆ หนึ่งเลย เพราะเป็นพระเราถึงได้พูดไง ก็มีเยอะ พูดไปนี่มันก็มีทุกคนนะ ที่พ่อแม่เขาพาลูกๆ มาหาเราก็เยอะ มันมีเด็กอยู่คนหนึ่งเขาพามาไง เพราะมันเรียนอยู่อังกฤษ มันก็ไม่ยอมรับนี่เลย

แล้วพ่อแม่เขาก็ทุกข์มาก เขาอยากให้มันสนใจศาสนาบ้าง เราบอกพระพุทธเจ้าเรานี่มีคุณมาก พระพุทธเจ้า สังคมเรานี่วัฒนธรรมมาจากพุทธะใช่ไหม? เขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นเอดิสันมันก็มีบุญคุณมาก มันเถียงเลยล่ะ เอดิสันเป็นคนคิดไฟฟ้า มันเห็นคุณค่าของเอดิสันมากว่าพระพุทธเจ้านะ

พระ : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : เออๆ มันบอกเอดิสันก็มีคุณเหมือนกัน มันไม่ยอม คนไม่ยอมก็คือไม่ยอมเห็นไหม อันนี้เราจะพูดถึงว่า อะไรมีคุณไม่มีคุณให้เขาสำนึก ไอ้ที่เขาชักมา เอาเด็กมาวัดเยอะมาก นี้มันก็ต้องพูดไปเป็นธรรมะไปเป็นอะไรไป แต่ไอ้ที่เขาพูดก็เป็นวิชาของเขาที่ว่าเขารู้อะไร เขาทายของใคร มันก็เป็นเทคนิคของเขา ทีนี้เป็นพระ เป็นพระเราจะไม่พูดนอกจากธรรม อันนี้อันหนึ่ง

พระ : ท่านอาจารย์ครับ ขอโอกาสคือแบบว่า การปฏิบัติธรรมนี่ สถานที่วิเวกมีโอกาสมากกว่าหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ : แน่นอนๆ เพราะอย่างนี้รู้ไหม เพราะในหลักธรรมนั่นน่ะ สถานที่วิเวก กายวิเวก จิตวิเวก เราเจอบ่อย ตอนเราบวชใหม่ๆ เพื่อนๆ ดูถูกมาก มึงไม่แน่นี่หว่า มึงแน่ก็ปฏิบัติในเมืองสิ ทุกคนถ้าปฏิบัติในเมืองจะเก่ง มันคิดกลับกันนะ อยู่ในเมืองมันยิ่งปฏิบัติยาก แล้วมันปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่ามันนอนใจ

นี่พูดใครเก่งๆ ก็แล้วแต่นะ เอ็งเอากลดแล้วเดินขึ้นเขาไปเลยไปอยู่คนเดียวนะ คืนนั้นมึงจะคิดวิตกกังวลไปหมดเลย เพราะอยู่คนเดียว ความคิดมันจะเกิดขึ้น อยู่คนเดียวยากกว่าอยู่ในกลุ่มเยอะมากนะ อยู่คนเดียวนี้มันไป เพราะเราธุดงค์มาแล้ว เรารู้ แต่ทีนี้โลกเขาคิดกันไม่เป็นไง เขาดูแบบโลก

อย่างพระนี่เขาเหยียดหยามเลย ไม่มีทางไปแล้วมาบวชพระ คนสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วมาบวชพระ หลวงตาบอกบวชพระแม่งยากฉิบหาย นั่ง เอ็งทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำนะ โอ้โฮ ทำงานอะไรเสร็จหมด แต่นั่งเฉยๆ มันทำไม่ได้นะ นั่งเฉยๆ ทำไม่ได้หรอก งานนั่งเฉยๆ เดินเฉยๆ ยากกว่างานที่เอ็งเคลื่อนไหวอยู่เยอะแยะ ประสาเรา มุมมองของโลกไง เราจะบอกว่าโลกียปัญญา โลกุตตระนี่ มุมมองนี่เยอะมาก แล้วเอ็งก็ไปรวบยอดเอามุมมองอย่างนั้นเลย แล้วก็จะบอกว่า ต้องศาสนาตอบได้หมด ตอบได้จริงๆ แต่ต้องรู้จริงถึงจะตอบได้

พระ :แล้วถ้าพระบวชขึ้นมา จะขอมาปฏิบัติธรรมที่นี่ต้องขอเรื่องศีล เรื่องวินัย ข้อปฏิบัติของทางวัดนี่ครับ

หลวงพ่อ : ต้องจ่ายสตางค์เยอะๆ

พระ : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : สตางค์น้อยๆ (หัวเราะ) ไม่ต้องมาปฏิบัติ ถ้าสตางค์เยอะได้ทันทีเลย อันนี้มันก็เป็น พระเรานี่เสมอกันด้วยศีล ๒๒๗ อยู่แล้ว พอบวชปั๊บนี่เท่ากันหมดเลย ถ้าไม่เท่ากันหมด ลงอุโบสถไม่ได้นะ ธรรมวินัยเราศึกษาสิ แล้วมาปฏิบัติ ปฏิบัติก็เพื่อฝึกฝนแล้ว มันมีใครมีศีลมากกว่าใคร แล้วจะไปฝึกอะไรอีก ไม่ต้องหรอก ตั้งใจทำ จะมาที่นี่ ๓ วันนี้เอาให้รอดก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว พอพรุ่งนี้แม่งเจอแดดเข้าไป เออ กลับเหอะๆ จบยัง

พระ :ถามหน่อยครับอาจารย์ หมอ... จะเป็นไปได้ไหมครับ ที่พระอรหันต์บางองค์อาจจะแบบมีเรื่องเข้าใจผิดกัน เป็นไปได้ไหม ที่พระอรหันต์องค์นี้ อาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ เป็นไปได้ไหม

หลวงพ่อ : ส่วนใหญ่แล้วนะเราไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะเราเห็น เช่นหลวงตานี่ เราเชื่อมั่นว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านออกมาช่วยโครงการช่วยชาติ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีนะ บางอย่าง นิสัย ท่านไม่ชอบท่านก็จะเก็บไว้ แต่ถ้าองค์ไหนนะท่านว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านออกมาโจมตีหลวงตานะ เราไม่เชื่อ เพราะพระอรหันต์จะไม่กล่าวร้ายว่าใคร จะเห็นบางอย่าง คือไม่ชอบ คือนิสัยมันไม่ตรงกัน จะเก็บไว้ในใจ

วันมาฆะฯ จะไม่ทำความชั่วทั้งสิ้น พูดชั่วใส่ความชั่ว จะทำแต่คุณงามความดี จะทำจิตให้ผ่องแผ้ว นี่คือคุณสมบัติของพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์ยังโต้แย้ง ยังฉะเขาอยู่ แต่เราฉะเขาเยอะนะ เรานี่ฉะเขาทั่วเลย แต่ฉะนี่เราไม่ได้ฉะด้วยอิจฉาตาร้อนใคร เราเล่นเขาเพราะว่าเขาไปทำลายหลวงตา เราปกป้องหลวงตา เราล่อเขาเยอะมาก นี่บอกว่าห้ามล่อใครๆ มึงน่ะล่อเขาเยอะ เออ ก็ล่อจริงๆ น่ะ (หัวเราะ)

พระ : พระอรหันต์ครับ หรือว่า พรรษาด้วย(เสียงไม่ชัดเจน) หรือคือว่าทั้ง ๒ องค์นี้อาจจะ (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ใช่

พระ : เมื่อก่อนนี่พระก็มีใช่ไหม? จะเป็นโยมอุปัฏฐากหรือว่าอะไรก็ตาม หรือว่าท่านจะเมตตา แทนที่จะยื้อกันไปยื้อกันมา กับพระอีกสายหนึ่ง ที่เป็นสายวิปัสสโกครับ ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมหรือไม่ได้เห็นด้วยกับการที่จะ พระที่จะพูดอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ อะไรที่นอกเหนือจาก เช่นแบบพระที่มีฤทธิ์มีเดช หรือแสดงปาฏิหาริย์อะไรออกมาอย่างนี้ครับ ให้กับญาติโยมซึ่งเป็นญาติโยมที่เคยทำบุญกับท่านมา หรือว่ามีสิ่งพิเศษที่ต่ำลงมา หรือว่าจะเป็นไปได้ไหม ที่พระอรหันต์ ๒ องค์ นี้อาจจะแบบว่า

หลวงพ่อ : ไม่หรอก ไม่ขัดแย้ง ถ้าพระอรหันต์แล้วนะ พระอรหันต์แล้วนะ ส่วนใหญ่แล้วท่านจะไม่พูดตรงนี้ออกมาเลย แต่นี้สิ่งที่พระอรหันต์ท่านจะไม่เชื่อ ท่านจะไม่เชื่อสิ่งที่เป็นพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์นี่มันต้องมีเหตุที่ทำให้ต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์นะ มีเหตุทำให้เป็นพระอรหันต์ เวลาเทศน์จะบอกถึงเหตุนั้นถูกต้อง

ดูหลวงตาสิ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์นะ คำเทศน์ของท่านจะไม่มีผิดแม้แต่นิดเดียวเลย แต่ถ้าอรหันต์ปลอม พอวิธีการกูสอนไปนะมึงทำสิ ตกทะเลหมด มันจะหันลงนรกหมด มันไม่หันขึ้นบนอากาศ นี่พระอรหันต์จะโต้แย้งกันตรงนี้ ไม่ได้โต้แย้งที่ผลที่เกิดนั้นหรอก จะโต้แย้งเพราะอะไร? ประสาเรา อ้าปากพูดก็รู้ว่าถูกหรือผิด เพราะถ้าอรหันต์จริงนะ หลวงปู่บุดดา หลวงปู่บุดดาน่ะของจริง แล้วฟังหลวงปู่บุดดาพูดสิ จิตหนึ่งเดียวๆ ไม่มี ๒ บุดดานั่นแหละของแท้

พระ : เออ อย่างแล้วสายทางฤทธิ์ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หรือว่าหลวงปู่ปานครับ

หลวงพ่อ : หลวงปู่ปานท่านเป็นโพธิสัตว์นะ ท่านปรารถนาโพธิสัตว์ ไอ้อย่างนี้เราไม่โต้แย้งกันเนอะ เราเป็นภิกษุด้วยกัน เป็นพระด้วยกัน เราเป็นสหธรรมิก

พระ : ท่านอาจารย์ ที่ว่าเมตตามหานิยมจะทำของ วัตถุมงคลออกมา ท่านบอกว่าเพื่อจะช่วยญาติโยม

หลวงพ่อ : ไม่ๆ เราไม่พูดแล้ว เพราะการตลาดอย่างนั้น เราไม่เอาแล้ว เพราะไอ้นี่มัน มันหนาวน่ะ หนาวๆ

พระ : เห็นแบบว่า คนละแนวทางครับ อาจารย์ครับ

หลวงพ่อ : ไม่หรอก ไม่ เราไม่คิดอย่างนั้น เราไม่คิดอย่างนั้นเลย เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าพูดถึงใจเป็นธรรมนี่นะ ใจมีคุณค่ามากนะ ของอย่างอื่นจะไม่มีความหมายเลย หลวงปู่เจี๊ยะนะ เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ

“ไอ้หงบ เขาเอาเงินทองมาทุ่มให้กูท่วมฟ้าเลยนะ กูยังไม่เอาเลย”

แต่นี่ไปหาสตางค์กัน จากที่เขาเอามาให้นะ หลวงตาหาเงินเข้าคลังหลวงกี่หมื่นล้าน ของเขานี่หาเงินหาทองไปหล่อพระเอาไปกราบเพื่อเอาไปหลอกชาวบ้าน ฉันมีพระทองคำ ฉันมีพระทองคำ หลวงตาหาทองคำเป็นหมื่นๆ ตันเข้าไปอยู่ในเป็นสมบัติของสาธารณะ เอาพระทองคำมาอวดกัน พระเขาสมมุตินะ พระพุทธรูปนี่สมมุติ เราไม่มีพระพุทธรูปเลย เราก็กราบได้ เราระลึกถึงคุณงามความดีเราก็กราบได้ ดูเจตนานี่ มันความเห็นมุมมอง โอ๊ย ต่างกันเยอะมากเลย อันนี้ยกๆไว้เถอะ อ้าว ไอ้นู่นต่อ

พระ : ขอโอกาสครับ หลวงตามหาบัวปีนี้ท่านอายุเท่าไรแล้วครับ?

หลวงพ่อ : เอ็งก็รู้แล้วถามทำไม ๙๖ สติพร้อม ปัญญาพร้อม แต่เวลาท่านพูด “เราหลงโน่นหลงนี่” พระอรหันต์หลงอะไรได้ พระอรหันต์หลงในสมมุติได้ ถนนหน้าวัดนี่เขาตั้งชื่อให้ ถนน ก. แล้วพอสุดท้ายแล้วมันเปลี่ยนเทศบาล มันก็เปลี่ยนชื่อเป็น ถนน ข. กูเคยมาถนน ก. แล้วกูจะจำถนน ข.ได้ไหม?

นี่ไง พระอรหันต์นะหลงในสมมุติได้ สมมุติบัญญัติ เพราะสมมุติบัญญัติมันเปลี่ยนแปลงทุกวัน คือเราเคยไปที่ไหนแล้วมันมีชื่อนี้ใช่ไหม เราก็จำชื่อนี้ได้ หลงในสมมุติบัญญัติ แต่ไม่หลงในอริยสัจ ไม่หลงในความรู้สึก ไม่หลงในความจริง หลงไม่ได้ พระอรหันต์ไม่มีหลง สติสมบูรณ์พร้อมตลอด แต่หลงในคำพูด คำพูดมันเปลี่ยนแปลง คำพูดของคน ศัพท์มันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ฉะนั้นถึงบอกว่า ของเรา เราก็ต้องยกย่องเป็นธรรมดา เนาะ เอวัง